กระแสเงินสดจากการดำเนินงานต่ำกว่ากำไรสุทธิ: ประเมินความเสี่ยงธุรกิจ

กระแสเงินสดจากการดำเนินงานต่ำกว่ากำไรสุทธิ: สัญญาณเตือนภัยที่ต้องสแกนก่อนลงทุน

โย่ว! ชาวแก๊งค์นักลงทุนรุ่นใหม่ทุกคน ในฐานะรุ่นพี่ที่กำลังเรียนบัญชีอยู่ในมหา’ลัย วันนี้เราจะมาคุยเรื่องที่อาจจะฟังดูน่าเบื่อ แต่บอกเลยว่าโคตรสำคัญ มันคือสกิลติดตัวที่จะทำให้เรามองทะลุธุรกิจต่างๆ ได้เฉียบกว่าใครเพื่อน นั่นคือเรื่องของ “กำไรสุทธิ” กับ “กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน”

เคยสงสัยมั้ยว่าทำไมบริษัทที่ประกาศว่า “กำไรอลังการ” ทุกปี แต่อยู่ดีๆ ก็มีข่าวว่าหมุนเงินไม่ทัน? มันเหมือนเพื่อนที่เกรด 4.00 แต่ไม่มีเงินกินข้าวเที่ยงนั่นแหละ! ปรากฏการณ์นี้แหละคือจุดเริ่มต้นของบทความเราวันนี้: เมื่อกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน (CFO) ต่ำกว่ากำไรสุทธิ (Net Profit) มันคือสัญญาณเตือนอะไรบางอย่างที่เราต้องรีบสแกนด่วน!

Part 1: กำไร vs เงินสด คืออะไรกันแน่? (ฉบับเข้าใจง่ายเหมือนยืมตังค์เพื่อน)

ก่อนจะไปต่อ เรามาจูนศัพท์กันก่อน จะได้คุยภาษาเดียวกันนะ

กำไรสุทธิ (Net Profit): เกรดเฉลี่ยของธุรกิจ

คิดง่ายๆ กำไรสุทธิ ก็เหมือนเกรดเฉลี่ยในใบเกรด มันคือบทสรุปสุดท้ายที่บอกว่า “หลังจากหักค่าใช้จ่ายทุกอย่างแล้ว บริษัทเหลือเงินเท่าไหร่” สูตรคลาสสิกของมันคือ:

รายได้ทั้งหมด – ค่าใช้จ่ายทั้งหมด = กำไรสุทธิ

ประเด็นสำคัญคือ “ค่าใช้จ่ายทั้งหมด” เนี่ย มันรวมค่าใช้จ่ายบางอย่างที่ ไม่ได้จ่ายเป็นเงินสดจริง ๆ ในรอบนั้น ๆ เข้าไปด้วย เช่น ค่าเสื่อมราคาของคอมพิวเตอร์ (เราไม่ได้ควักเงินจ่ายค่าเสื่อมทุกเดือนใช่มั้ยล่ะ) ดังนั้น กำไรสุทธิจึงเป็นตัวเลขบน “กระดาษ” หรือในระบบบัญชี ที่อาจไม่ตรงกับเงินในบัญชีธนาคารเป๊ะ ๆ

กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน (Cash Flow from Operating Activities – CFO): เงินสดในกระเป๋าตังค์

ส่วน CFO คือของจริง! มันคือเงินสดที่ไหลเข้า-ไหลออก จากการทำธุรกิจหลัก ๆ ของบริษัทจริง ๆ เหมือนเงินในกระเป๋าตังค์ที่เราใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน มันไม่สนใจตัวเลขในกระดาษ มันสนแค่ว่า:

  • มีเงินสดเข้าจากการขายของจริงๆ เท่าไหร่?
  • มีเงินสดออกไปเพื่อจ่ายค่าจ้างพนักงาน, ค่าวัตถุดิบ, ค่าเช่าร้านจริงๆ เท่าไหร่?

CFO จะบอกเราถึง “สภาพคล่อง” หรือความสามารถในการเอาตัวรอดของธุรกิจได้ดีกว่า เพราะบริษัทที่ไม่มีเงินสด ก็เหมือนคนที่ไม่มีเลือดหล่อเลี้ยงร่างกาย ต่อให้สมองดีแค่ไหน (กำไรสูง) ก็ไปต่อไม่ไหว

จำง่าย ๆ: กำไรคือ “ความคิดเห็น” ของนักบัญชี แต่เงินสดคือ “ความจริง” (Profit is an opinion, Cash is a fact.)

Part 2: เปิดโปง! 4 สาเหตุหลักที่ทำให้ “เงินสด” น้อยกว่า “กำไร”

เมื่อไหร่ก็ตามที่เราเห็น CFO < Net Profit ในงบการเงิน อย่าเพิ่งตกใจ แต่ให้เปิดโหมดนักสืบแล้วเริ่มหาคำตอบจากสาเหตุเหล่านี้ได้เลย

1. ยอดลูกหนี้การค้า (Accounts Receivable) บวมเป่ง!

นี่คือสาเหตุยอดฮิตอันดับหนึ่ง! “ลูกหนี้การค้า” คือเงินที่ลูกค้ารับของ/บริการเราไปแล้ว แต่ยังไม่จ่ายเงิน หรือที่เราเรียกว่า “ขายเชื่อ”

  • ในทางบัญชี: เมื่อเราส่งของให้ลูกค้า เราจะบันทึกเป็น “รายได้” ทันที ซึ่งทำให้ กำไรสุทธิ สูงขึ้น
  • ในโลกความจริง: เรายังไม่ได้ เงินสด สักบาท! เงินยังลอยอยู่กับลูกค้านั่นแหละ

สัญญาณอันตราย: ถ้ายอดลูกหนี้การค้าเพิ่มขึ้นเยอะๆ และเร็วกว่ายอดขาย มันอาจแปลว่าบริษัทกำลังมีปัญหาในการเก็บเงินจากลูกค้า หรืออาจจะยอมปล่อยสินเชื่อให้ลูกค้าง่ายเกินไปเพื่อปั๊มยอดขายสวยๆ ซึ่งเสี่ยงต่อการเป็นหนี้เสียในอนาคต (ลูกค้าเบี้ยวหนี้) เหมือนให้เพื่อนยืมตังค์แล้วทวงไม่ได้นั่นแหละ!

2. สินค้าคงคลัง (Inventory) จมสต็อก

สินค้าคงคลังก็คือของที่บริษัทผลิตหรือซื้อมาเพื่อรอขาย ลองนึกภาพร้านขายของออนไลน์ที่สั่งของมาตุนไว้เต็มบ้าน

  • เกิดอะไรขึ้น?: บริษัทต้องใช้ เงินสด ออกไปก่อนเพื่อซื้อวัตถุดิบหรือสั่งสินค้าเข้ามาสต็อก
  • ผลกระทบ: เงินสดไหลออกจากบริษัทไปแล้ว แต่ของยังขายไม่ได้ มันจึงยังไม่กลายเป็นรายได้หรือกำไร จนกว่าจะขายของชิ้นนั้นได้

สัญญาณอันตราย: ถ้าสินค้าคงคลังเพิ่มขึ้นเยอะมาก อาจหมายความว่าบริษัทคาดการณ์ยอดขายผิดพลาด ของที่ผลิตมาขายไม่ออก หรือเทรนด์ตลาดเปลี่ยนไปแล้ว ถ้าปล่อยไว้นาน ๆ ของอาจจะตกรุ่น เสื่อมสภาพ กลายเป็นของที่ต้องขายเลหลังขาดทุนในที่สุด เงินที่จมไปกับสต็อก ก็คือเงินที่บริษัทเอาไปทำอย่างอื่นไม่ได้

3. รีบจ่ายเจ้าหนี้การค้า (Accounts Payable) เกินไป

“เจ้าหนี้การค้า” คือเงินที่เราติดซัพพลายเออร์ หรือคนที่ขายวัตถุดิบให้เรา การบริหารเจ้าหนี้การค้าก็เป็นศิลปะอย่างหนึ่ง

  • สถานการณ์: สมมติซัพพลายเออร์ให้เครดิตเรา 30 วัน (จ่ายเงินภายใน 30 วัน) แต่เราดันรีบจ่ายเงินตั้งแต่วันแรกที่ได้รับของ
  • ผลกระทบ: เงินสดไหลออกจากบริษัทเร็วเกินความจำเป็น ทั้งๆ ที่เราสามารถเก็บเงินสดก้อนนั้นไว้หมุนในธุรกิจได้อีกเกือบเดือน

สัญญาณอันตราย: โดยทั่วไปแล้ว การลดลงของเจ้าหนี้การค้า (จ่ายหนี้เร็วขึ้น) จะทำให้ CFO ต่ำลง ถ้าทำบ่อย ๆ โดยไม่มีเหตุผลที่ดี อาจแสดงถึงการบริหารเงินสดที่ไม่มีประสิทธิภาพ ทำให้บริษัทขาดสภาพคล่องโดยไม่จำเป็น

4. การลงทุนหนักในช่วงเติบโต (Aggressive Growth Investment)

ข้อนี้ไม่ได้แย่เสมอไปนะ! บางทีบริษัทที่กำลังโตแบบก้าวกระโดด ก็อาจจะมี CFO ต่ำกว่ากำไรได้เหมือนกัน เพราะ…

  • ต้องสั่งของมาสต็อกเยอะขึ้นเพื่อรองรับออเดอร์ในอนาคต (Inventory เพิ่ม)
  • ต้องให้เครดิตกับลูกค้ารายใหญ่ ๆ เจ้าใหม่ ๆ เพื่อเปิดตลาด (Accounts Receivable เพิ่ม)

วิธีดู: ในกรณีนี้ เราต้องดูประกอบกับ “อัตราการเติบโตของยอดขาย” ถ้าบริษัทยอดขายโต 50% แต่ CFO ติดลบนิดหน่อยเพราะต้องลงทุนเพิ่ม แบบนี้อาจจะยังพอรับได้และเป็นสัญญาณของการเติบโตที่ดี แต่ถ้าโตแค่ 5% แต่เงินสดหดหายไปเยอะ แบบนี้ต้องเริ่มสงสัยแล้ว

Part 3: How-To-Scan: สวมบทนักวิเคราะห์รุ่นเยาว์

โอเค เรารู้สาเหตุแล้ว แล้วจะเอาไปใช้วิเคราะห์จริง ๆ ได้ยังไง? ไม่ยากเลย ทำตามสเต็ปนี้:

  1. ดูเทรนด์ย้อนหลัง: อย่าดูแค่งบของปีล่าสุด ให้ดูย้อนหลังไปเลย 3-5 ปี ปัญหานี้เพิ่งเกิด หรือเป็นมานานแล้ว? ถ้าเป็นมานานแล้วและแย่ลงเรื่อย ๆ นี่คือธงแดงอันใหญ่เลย!
  2. เทียบกับคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกัน: ลองไปส่องงบของบริษัทคู่แข่งดูสิ บางทีมันอาจจะเป็นเรื่องปกติของธุรกิจประเภทนั้นๆ ก็ได้ เช่น ธุรกิจค้าปลีกอาจจะมีสินค้าคงคลังเยอะเป็นปกติ แต่ถ้าบริษัทของเรามีเยอะกว่าคู่แข่งอย่างมีนัยสำคัญ อันนี้น่าคิด
  3. อ่านหมายเหตุประกอบงบการเงิน: นี่คือคัมภีร์ของนักลงทุน! ในส่วนนี้บริษัทจะอธิบายรายละเอียดของตัวเลขต่าง ๆ ในงบการเงิน เช่น นโยบายการให้สินเชื่อลูกค้า หรือเหตุผลที่สินค้าคงคลังเพิ่มขึ้น มันจะช่วยให้เราเข้าใจเรื่องราวเบื้องหลังได้มากขึ้น
  4. มองหา “คุณภาพของกำไร”: บริษัทที่มี CFO ใกล้เคียงหรือสูงกว่ากำไรสุทธิอย่างสม่ำเสมอ เราจะเรียกว่าเป็นบริษัทที่มี “กำไรคุณภาพดี” เพราะกำไรที่ได้มานั้นสามารถแปลงเป็นเงินสดได้จริง ๆ ไม่ใช่แค่ตัวเลขสวย ๆ บนกระดาษ

Q&A Corner: ถามมา-ตอบไป สไตล์เด็กบัญชี

รวบรวมคำถามที่หลายคนน่าจะสงสัย มาเคลียร์กันให้ชัด ๆ ไปเลย!

Q1: ระหว่างกำไรสุทธิกับกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน อะไรสำคัญกว่ากัน?

A: สำคัญทั้งคู่ เหมือนเหรียญที่มีสองด้าน! กำไรสุทธิบอกถึง “ประสิทธิภาพ” ในการทำธุรกิจ ส่วน CFO บอกถึง “ความสามารถในการอยู่รอด” ธุรกิจที่ดีในระยะยาวต้องมีทั้งสองอย่าง แต่ถ้าให้เลือกในสถานการณ์คับขัน เงินสดสำคัญกว่าเสมอ เพราะบริษัทเจ๊งเพราะขาดเงินสด ไม่ได้เจ๊งเพราะขาดทุน (ในระยะสั้น)

Q2: แล้วถ้า CFO สูงกว่ากำไรสุทธิล่ะ? แบบนี้ดีมั้ย?

A: ส่วนใหญ่แล้วเป็นสัญญาณที่ดีมาก! มักจะเกิดจากบริษัทมี “ค่าใช้จ่ายที่ไม่ใช่เงินสด” สูง เช่น ค่าเสื่อมราคาเยอะ ๆ ซึ่งค่าใช้จ่ายพวกนี้ถูกนำไปหักออกจากกำไร แต่ไม่ได้มีเงินสดไหลออกไปจริง ๆ ทำให้เมื่อปรับปรุงกลับมาเป็น CFO ตัวเลขเงินสดจึงสูงกว่ากำไร นอกจากนี้ยังอาจหมายถึงบริษัทเก็บเงินจากลูกค้าได้เร็ว และบริหารการจ่ายเงินให้ซัพพลายเออร์ได้ดีอีกด้วย

Q3: ถ้าบริษัทมีกำไรสูง แต่ CFO ต่ำเป็นเวลาหลายปีติดต่อกัน จะเกิดอะไรขึ้น?

A: เสี่ยงมาก! เราเรียกอาการนี้ว่า “รวยในกระดาษ แต่ขาดเงินสด” (Profitable but Cash Poor) ในระยะยาว บริษัทอาจไม่มีเงินสดพอจ่ายเงินเดือนพนักงาน จ่ายหนี้ หรือลงทุนต่อ สุดท้ายอาจจะต้องกู้เงินเพิ่ม หรือเพิ่มทุน ซึ่งจะส่งผลเสียต่อผู้ถือหุ้นเดิม และถ้าสถานการณ์ไม่ดีขึ้น ก็อาจนำไปสู่การล้มละลายได้ในที่สุด

Q4: ในฐานะวัยรุ่นที่ยังไม่ได้ลงทุนจริงจัง จะเอาความรู้นี้ไปปรับใช้ยังไงได้บ้าง?

A: ง่ายมากเลย! ลองเอาไปปรับใช้กับ “การเงินส่วนตัว” ของเราเองสิ! “กำไรสุทธิ” ก็เหมือนเงินที่เราคาดว่าจะเหลือสิ้นเดือน (รายรับ – รายจ่ายที่วางแผนไว้) ส่วน “CFO” คือเงินสดที่เหลือในกระเป๋าจริง ๆ บางทีเราอาจจะวางแผนว่าสิ้นเดือนจะเหลือเงิน 500 บาท (กำไร) แต่ดันมีเพื่อนยืมตังค์ไป 300 แล้วยังไม่ได้คืน (ลูกหนี้การค้า) ทำให้เงินสดในกระเป๋าเราเหลือแค่ 200 บาท (CFO) เห็นมั้ยว่ามันคือหลักการเดียวกันเลย!

บทสรุป: มองให้ลึกกว่าแค่ตัวเลขกำไร

การที่กระแสเงินสดจากการดำเนินงานต่ำกว่ากำไรสุทธิ ไม่ได้แปลว่าบริษัทนั้นไม่ดีเสมอไป แต่มันคือ “สัญญาณเตือน” หรือ “ธงเหลือง” ที่กระตุ้นให้เราต้องเจาะลึกลงไปหาความจริงว่ามันเกิดจากอะไร

  • เกิดจากการบริหารงานที่ผิดพลาด (เก็บเงินไม่ได้, สต็อกบวม) หรือ…
  • เกิดจากการลงทุนเพื่อการเติบโตในอนาคต?

การเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างสองตัวเลขนี้ คือหนึ่งในทักษะที่สำคัญที่สุดของการเป็นนักลงทุน มันช่วยให้เราแยกแยะระหว่างบริษัทที่ “ดูดีแค่เปลือกนอก” กับบริษัทที่ “แข็งแกร่งจากภายใน” ได้อย่างแท้จริง ตอนนี้เราก็มีสกิลใหม่ติดตัวแล้ว ลองไปเปิดงบการเงินของบริษัทที่เราสนใจ แล้วลองสวมบทนักสืบกันได้เลย!

Most Popular

Categories