จับสัญญาณอันตราย: ระยะเวลาเก็บหนี้ที่เพิ่มขึ้นและการตั้งสำรองหนี้สูญ | ไกด์ฉบับวัยรุ่นอ่านงบฯ
เฮ้ทุกคน! เคยป่ะ? ให้เพื่อนยืมตังค์ ตอนแรกบอก “เดี๋ยวสิ้นเดือนคืนนะ” แต่พอถึงเวลา…เงียบกริบ ทักไปก็อ่านไม่ตอบ ผ่านไปสองเดือนสามเดือน จนเราเริ่มคิดละว่า “เออ…สงสัยจะไม่ได้คืนแล้วล่ะมั้ง” ความรู้สึกหน่วงๆ แบบนี้แหละ ที่บริษัทใหญ่ๆ เขาก็เจอเหมือนกัน! แต่มันมาในสเกลที่ใหญ่กว่าเยอะ และมันคือสัญญาณอันตรายที่ซ่อนอยู่ในตัวเลขที่เราต้องหัดอ่านให้เป็น
ในฐานะรุ่นพี่มหา’ลัยที่คลุกคลีกับเรื่องตัวเลขพวกนี้มาพอสมควร (และเคยเจ็บกับการลงทุนเพราะไม่อ่านให้ดีมาก่อน 😅) วันนี้เราเลยอยากจะมาชวนเพื่อน ๆ ชาว Gen Z มาสวมบทเป็น “นักสืบการเงิน” กัน เราจะมาไขรหัสลับ 2 อย่างที่บอกสุขภาพของบริษัทได้ดีสุดๆ นั่นก็คือ “ระยะเวลาเก็บหนี้ที่เพิ่มขึ้น” และ “การตั้งสำรองหนี้สูญ” สองคำนี้อาจจะฟังดูน่าเบื่อเหมือนคาบเรียนบัญชี แต่เชื่อเราเถอะ ถ้ารู้เรื่องนี้ไว้ อนาคตไม่ว่าจะอยากลงทุนในหุ้น, อยากทำธุรกิจของตัวเอง หรือแค่อยากเข้าใจโลกเศรษฐกิจมากขึ้น สกิลนี้โคตรจะมีประโยชน์เลย!
เอาล่ะ เตรียมสมองให้พร้อม แล้วไปลุยกันเลย!
Part 1: เบาะแสแรก – ระยะเวลาเก็บหนี้ (Days Sales Outstanding) ทำไมยิ่งนาน ยิ่งน่าห่วง?
ก่อนอื่น มาทำความรู้จักกับพระเอกของเราก่อน นั่นคือ “ลูกหนี้การค้า” (Accounts Receivable – AR)
ลูกหนี้การค้า พูดง่าย ๆ ก็คือ “เงินที่คนอื่นติดบริษัทอยู่” นั่นเอง เกิดจากการที่บริษัทขายของหรือให้บริการไปก่อน แต่ยังไม่ได้เก็บเงินสดทันที เป็นการให้เครดิตกับลูกค้า เช่น โรงงานผลิตเสื้อผ้าส่งของให้ร้านค้าไปขายก่อน แล้วร้านค้าค่อยจ่ายเงินในอีก 30 วันข้างหน้า เงินที่ร้านค้าติดโรงงานอยู่นี่แหละ คือ “ลูกหนี้การค้า” ของโรงงาน
ทีนี้…คำถามคือ บริษัทใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะตามเก็บเงินก้อนนี้กลับมาเป็นเงินสดได้? นี่แหละคือที่มาของตัวชี้วัดที่โคตรสำคัญที่เรียกว่า “ระยะเวลาเก็บหนี้เฉลี่ย” หรือชื่อสากลเท่ๆ ว่า Days Sales Outstanding (DSO)
DSO คืออะไร? แล้วมันบอกอะไรเรา?
DSO คือจำนวนวันโดยเฉลี่ยที่บริษัทใช้ในการเก็บเงินจากลูกหนี้หลังจากที่ขายสินค้าหรือบริการไปแล้ว
ลองนึกภาพตามนะ:
- บริษัท A: ขายของวันนี้ อีก 15 วันได้เงินสดกลับมา (DSO = 15 วัน)
- บริษัท B: ขายของวันนี้ อีก 60 วันกว่าจะได้เงินสดกลับมา (DSO = 60 วัน)
เห็นความต่างมั้ย? บริษัท A ได้เงินกลับมาหมุนในธุรกิจเร็วกว่าเยอะมาก! เขาสามารถเอาเงินสดนั้นไปจ่ายเงินเดือนพนักงาน, ซื้อวัตถุดิบเพิ่ม, จ่ายค่าเช่า หรือลงทุนต่อยอดได้ ในขณะที่บริษัท B เงินส่วนใหญ่ยังลอยเคว้งคว้างอยู่ที่ลูกค้า ต้องรอนานถึงสองเดือนกว่าจะกลับมาเป็นเงินสดจริงๆ
ดังนั้น สัญญาณอันตรายแรกก็คือ: เมื่อ DSO ของบริษัทเริ่มยาวนานขึ้นเรื่อยๆ!
เช่น จากเดิมเคยเก็บหนี้ได้ใน 30 วัน กลายเป็น 45 วัน…แล้วขยับไปเป็น 60 วัน… นี่คือ Red Flag 🚩 ใหญ่ๆ เลย มันอาจจะกำลังบอกเราว่า:
- คุณภาพของลูกค้าแย่ลง: บริษัทอาจจะกำลังขายของให้กับลูกค้าที่ไม่มีกำลังจ่าย หรือมีปัญหาทางการเงิน ทำให้จ่ายเงินช้า
- อำนาจต่อรองลดลง: บริษัทอาจจะต้องยอมให้เครดิตนานขึ้นเพื่อจะขายของให้ได้ ซึ่งอาจแปลว่าสินค้าหรือบริการของบริษัทไม่ได้เป็นที่ต้องการมากเหมือนเดิม หรือมีคู่แข่งที่ให้เงื่อนไขดีกว่า
- กระบวนการเก็บหนี้ห่วย: ทีมทวงหนี้ของบริษัทอาจจะทำงานไม่มีประสิทธิภาพ หรือไม่มีระบบการติดตามที่ดีพอ
- เศรษฐกิจโดยรวมไม่ดี: บางทีมันอาจไม่ใช่ความผิดของบริษัทโดยตรง แต่เป็นเพราะเศรษฐกิจซบเซา ทำให้ลูกค้าทุกรายหมุนเงินไม่ทันกันหมด
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม การที่ DSO ยาวขึ้นแปลว่าบริษัทมีความเสี่ยงที่ “เงินสด” จะขาดมือ ซึ่งเงินสดก็เปรียบเสมือนออกซิเจนของธุรกิจ ถ้าขาดไปเมื่อไหร่…ก็รอวันล้มได้เลย
Part 2: เบาะแสที่สอง – การตั้งสำรองหนี้สูญ (Allowance for Doubtful Accounts) เกราะกันกระแทกที่บอกความจริง
โอเค จากเบาะแสแรก เรารู้แล้วว่าการที่คนจ่ายเงินช้ามันไม่ดี แต่จะเกิดอะไรขึ้นถ้า…พวกเขาไม่จ่ายเลย? นี่แหละคือฝันร้ายของทุกธุรกิจ และเป็นที่มาของคำว่า “หนี้สูญ” (Bad Debt)
หนี้สูญก็ตรงตัวเลย คือหนี้ที่บริษัทคาดว่าจะเก็บเงินไม่ได้แน่นอน 100% เช่น ลูกค้าปิดบริษัทหนีไปแล้ว หรือล้มละลาย
แต่ในโลกความจริง บริษัทไม่สามารถรอจนลูกหนี้เจ๊งแล้วค่อยมาบอกว่า “โอ๊ย! เก็บเงินไม่ได้” ได้ เพราะมันจะทำให้ตัวเลขในบัญชีดูดีเกินจริงมาตลอด นักบัญชีและนักลงทุนเลยต้องมีวิธีประเมินความเสี่ยงล่วงหน้า สิ่งนั้นเรียกว่า “การตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญ” (Allowance for Doubtful Accounts)
“ตั้งสำรอง” คืออะไร? ใช่การเอาเงินไปเก็บไว้เหรอ?
ไม่ใช่เลย! มันไม่ใช่การเอาเงินสดไปใส่ไหฝังดินนะเพื่อนๆ แต่มันคือ “การกันตัวเลขไว้ในทางบัญชี” เพื่อประเมินว่าในบรรดาลูกหนี้ทั้งหมดที่เรามีเนี่ย น่าจะมีประมาณกี่บาทที่เราจะเก็บเงินไม่ได้
เหมือนเวลาเราให้เพื่อนยืมเงิน 5 คน คนละ 100 บาท รวมเป็น 500 บาท เรารู้นิสัยเพื่อนแต่ละคนดี…ไอ้คนแรกคืนตรงเวลาแน่, คนที่สองอาจจะเลทนิดหน่อย, แต่ไอ้คนที่สามเนี่ย…ประวัติไม่ดีเลย เราอาจจะ “ตั้งสำรองในใจ” ไว้ว่า “เงิน 100 บาทของไอ้คนที่สามเนี่ย…สงสัยจะไม่ได้คืนว่ะ” ในทางบัญชีก็ทำแบบเดียวกันเลย
บริษัทจะประเมินจากประสบการณ์ในอดีต, อายุของหนี้ (ยิ่งค้างนานยิ่งเสี่ยง), และสภาพเศรษฐกิจ แล้วก็ตั้งสำรองไว้ เช่น บริษัทมีลูกหนี้ทั้งหมด 10 ล้านบาท อาจจะตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญไว้ 500,000 บาท แปลว่าบริษัทคาดการณ์ว่าน่าจะเก็บเงินไม่ได้ประมาณ 5 แสนบาทนั่นเอง
แล้วสัญญาณอันตรายมันอยู่ตรงไหน?: เมื่อบริษัท “ตั้งสำรองหนี้สูญเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ”!
การที่อยู่ๆ บริษัทต้องตั้งสำรองหนี้สูญเพิ่มขึ้นเยอะๆ หรือตั้งในสัดส่วนที่สูงกว่าคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกัน มันเป็นสัญญาณเตือนภัยที่ดังมาก! เพราะมันแปลว่า:
- บริษัทเองก็ยอมรับแล้วว่าคุณภาพลูกหนี้ตัวเองแย่ลงมาก: ผู้บริหารมองเห็นแล้วว่ามีลูกหนี้จำนวนมากที่ส่อแววจะเบี้ยวหนี้ เลยต้องรีบกันสำรองไว้ก่อน
- อาจมีปัญหาใหญ่ซ่อนอยู่: การเพิ่มขึ้นของค่าเผื่อหนี้สูญอาจเป็นผลมาจากยอดขายที่ตกต่ำลงอย่างรุนแรง หรือสินค้ามีปัญหาจนลูกค้าไม่ยอมจ่ายเงิน
- ส่งผลกระทบโดยตรงกับกำไร: เงินที่ตั้งสำรองหนี้สูญนี้ จะถูกนำไปบันทึกเป็น “ค่าใช้จ่าย” ในงบกำไรขาดทุนทันที แปลว่ายิ่งตั้งสำรองเยอะ กำไรของบริษัทก็จะลดลงเยอะตามไปด้วย
Part 3: นักสืบเชื่อมโยง: เมื่อ 2 เบาะแสมาบรรจบกัน
ทีนี้…ความสนุกมันอยู่ตรงนี้แหละ! สองเรื่องนี้มันไม่ได้แยกจากกัน แต่มันสัมพันธ์กันอย่างแนบแน่นเลยเพื่อนๆ
ระยะเวลาเก็บหนี้ (DSO) ที่ยาวขึ้น ➡️ มักจะนำไปสู่ ➡️ การตั้งสำรองหนี้สูญ (Allowance) ที่สูงขึ้น
มันเป็น Logic ง่ายๆ เลย ยิ่งลูกหนี้ค้างจ่ายนานเท่าไหร่ (DSO สูง) โอกาสที่พวกเขาจะไม่มีเงินมาจ่ายก็จะยิ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนสุดท้ายกลายเป็นหนี้สูญที่ต้องตัดใจ
ลองดู Case Study สมมติ: ร้าน “อนาคตไกลคาเฟ่”
- ปี 2566: ร้านเพิ่งเปิดใหม่ ขายดีมาก ส่วนใหญ่รับเงินสด มีส่งกาแฟให้ Office แถวๆ นั้นบ้างนิดหน่อย เก็บเงินไวมาก DSO อยู่ที่ 15 วัน และแทบไม่ต้องตั้งสำรองหนี้สูญเลย เพราะลูกค้าจ่ายตรงเวลาหมด บริษัทดูสุขภาพดีสุดๆ
- ปี 2567: ร้านอยากโตเร็ว เลยเริ่มรับงานจัดเลี้ยงนอกสถานที่เยอะขึ้น ซึ่งลูกค้ากลุ่มนี้มักจะขอเครดิต 60-90 วัน ทำให้ DSO พุ่งไปที่ 70 วัน! สิ้นปี บริษัทเริ่มเห็นว่ามีลูกค้าบางรายจ่ายช้ามาก เลยเริ่ม ตั้งสำรองหนี้สูญ 5% ของยอดลูกหนี้
- ปี 2568: เศรษฐกิจไม่ดี บริษัทที่เคยสั่งจัดเลี้ยงเริ่มปิดตัวไป 2-3 เจ้า ทำให้หนี้ก้อนนั้นเก็บไม่ได้แน่นอน แถมลูกค้าที่เหลือก็จ่ายช้าลงไปอีก DSO พุ่งไป 100 วัน! บริษัทจึงจำเป็นต้อง ตั้งสำรองหนี้สูญเพิ่มเป็น 15% ของยอดลูกหนี้ และต้อง “ตัดหนี้สูญ” (Write-off) ของบริษัทที่ปิดไปแล้วออกจากบัญชี ซึ่งกระทบกำไรของร้านเต็มๆ
จากเคสนี้จะเห็นเลยว่า การไล่ตามดูตัวเลข 2 ตัวนี้ไปเรื่อยๆ ในแต่ละปี มันทำให้เราเห็น “เรื่องราว” และ “ความเสี่ยง” ของบริษัทได้ชัดเจนขึ้นมาก จากบริษัทที่ดูดีในปีแรก กลายเป็นบริษัทที่น่าเป็นห่วงในปีที่สาม เพราะมีปัญหาเรื่องการบริหารลูกหนี้และสภาพคล่องอย่างรุนแรง
Part 4: แล้วเรา…วัยรุ่นอย่างเรา จะสนใจเรื่องนี้ไปทำไม?
เชื่อว่าหลายคนคงคิดในใจ “โอ้โห…อะไรจะจริงจังเบอร์นั้น” แต่ฟังเราก่อนนะ การเข้าใจเรื่องนี้มันมีประโยชน์กับเรามากกว่าที่คิด
- สำหรับสายลงทุน: ใครที่ฝันอยากเทรดหุ้น หรือเก็บเงินซื้อกองทุนรวม การอ่านงบการเงินและเข้าใจสัญญาณพวกนี้ คือสกิลเอาตัวรอดขั้นสุดยอด มันช่วยให้เราคัดกรอง “บริษัทที่ดูดีแต่เปลือก” ออกไปได้ และเลือกบริษัทที่มีสุขภาพการเงินแข็งแกร่งจริงๆ ไม่ใช่แค่เห็นว่ากำไรเยอะแล้วกระโดดเข้าไปซื้อเลย
- สำหรับสาย επιχειρηματίας (Entrepreneur): ใครที่ฝันอยากมีธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะขายของออนไลน์ ทำคาเฟ่ หรือสร้างแบรนด์ เรื่องนี้คือหัวใจเลย! ถ้าเราบริหารจัดการ “ลูกหนี้” ไม่ดี ปล่อยให้คนติดเงินเรานานๆ หรือเลือกลูกค้าผิด สุดท้ายธุรกิจเราอาจจะเจ๊งได้ง่ายๆ เพราะไม่มีเงินสดมาหมุนเวียน
- สำหรับสายความรู้รอบตัว: เวลาเราอ่านข่าวเศรษฐกิจ เช่น “บริษัท X ประกาศผลประกอบการ กำไรลดฮวบเพราะตั้งสำรองหนี้สูญเพิ่ม” เราจะเข้าใจทันทีว่ามันเกิดอะไรขึ้น มันไม่ใช่แค่ตัวเลขน่าเบื่อๆ แต่เป็นเรื่องราวความอยู่รอดของธุรกิจ มันทำให้เรามองโลกได้ลึกขึ้น
มันคือการฝึก “ทักษะการคิดวิเคราะห์” (Critical Thinking) ผ่านตัวเลข ซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นมากๆ ไม่ว่าเราจะเรียนต่อคณะไหนหรือทำงานอะไรในอนาคตก็ตาม
Part 5: Q&A ถาม-ตอบ คลายข้อสงสัยสไตล์เด็กมหา’ลัย
รวบรวมคำถามที่เพื่อน ๆ น่าจะสงสัยกัน พร้อมคำตอบแบบเข้าใจง่าย ๆ มาให้ตรงนี้เลย!
- Q: ระยะเวลาเก็บหนี้ (DSO) ที่ดีควรเป็นเท่าไหร่?
- A: ไม่มีคำตอบตายตัว! มันขึ้นอยู่กับ “อุตสาหกรรม” ของธุรกิจนั้นๆ เช่น ธุรกิจค้าปลีกอย่าง 7-Eleven ที่รับเงินสดเป็นหลัก DSO อาจจะแค่ 2-3 วัน แต่ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างที่ต้องรอเบิกเงินเป็นงวดๆ DSO อาจจะนานถึง 120 วันก็ได้ สิ่งสำคัญคือการ “เปรียบเทียบกับคู่แข่ง” ในอุตสาหกรรมเดียวกัน และ “เปรียบเทียบกับอดีต” ของบริษัทตัวเอง ถ้า DSO ของบริษัทเราสูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมมาก ๆ หรือสูงขึ้นทุกปี ๆ นั่นแหละคือสัญญาณไม่ดี
- Q: หนี้สูญ (Bad Debt) กับ หนี้สงสัยจะสูญ (Doubtful Accounts) ต่างกันยังไง?
- A: “หนี้สงสัยจะสูญ” คือการ “คาดการณ์” หรือ “ประเมิน” ว่าน่าจะเก็บไม่ได้ (Allowance) ส่วน “หนี้สูญ” คือการ “ตัดใจ” และ “ยืนยัน” แล้วว่าเก็บไม่ได้แน่นอน 100% เลยต้องเอามันออกจากบัญชีลูกหนี้ไปเลย (Write-off) พูดง่ายๆ คือ อันแรกคือ “สงสัย” อันหลังคือ “เกิดขึ้นจริง”
- Q: เราจะหาข้อมูลพวกนี้ได้จากที่ไหน? อยากลองเป็นนักสืบบ้าง!
- A: สุดยอด! สำหรับบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อนๆ สามารถเข้าไปที่เว็บไซต์ของ ตลาดหลักทรัพย์ (SET) ค้นหาชื่อหุ้นที่สนใจ แล้วเข้าไปดูในส่วนของ “ข้อมูลงบการเงิน/ผลประกอบการ” เอกสารที่ต้องมองหาคือ “งบแสดงฐานะการเงิน” (จะเห็นยอดลูกหนี้การค้าและค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ) และ “หมายเหตุประกอบงบการเงิน” (จะอธิบายรายละเอียดและนโยบายการตั้งสำรอง) แรกๆ อาจจะงงหน่อย แต่ค่อยๆ ดูไปเรื่อยๆ จะชินเอง!
- Q: ถ้าบริษัทไม่มีลูกหนี้การค้าเลย ดีไหม?
- A: ส่วนใหญ่ถือว่าดีมาก! เพราะมันแปลว่าบริษัทขายของเป็น “เงินสด” ตลอด ซึ่งทำให้สภาพคล่องดีสุด ๆ ไม่มีความเสี่ยงเรื่องหนี้สูญเลย แต่ในบางธุรกิจ การไม่ให้เครดิตเลยอาจทำให้เสียโอกาสในการขายให้กับลูกค้ารายใหญ่ๆ ได้เหมือนกัน มันคือการแลกกันระหว่าง “การเติบโต” กับ “ความเสี่ยง”
บทสรุป: จากนักเรียนสู่นักสืบการเงิน
เป็นไงกันบ้าง? จากสองคำศัพท์บัญชีที่ดูน่าเบื่อ พอเราลองเจาะลึกลงไป มันกลายเป็นเครื่องมือของนักสืบที่ทรงพลังมากเลยใช่ไหมล่ะ? การเฝ้าดู “ระยะเวลาเก็บหนี้” ที่ค่อย ๆ ยาวขึ้น และ “การตั้งสำรองหนี้สูญ” ที่พุ่งสูงขึ้น ก็เหมือนกับการเห็นรอยร้าวเล็ก ๆ บนกำแพง ที่หากไม่รีบแก้ไข วันหนึ่งกำแพงนั้นอาจจะพังทลายลงมาทั้งแถบ
วันนี้ เราอาจจะยังไม่ได้ต้องไปลงทุนเงินหมื่นเงินแสน แต่การฝึกฝนทักษะการมองทะลุตัวเลขเหล่านี้ จะเป็นอาวุธติดตัวเราไปตลอด มันสอนให้เราไม่เชื่ออะไรง่ายๆ สอนให้เราตั้งคำถาม และสอนให้เรามองหาสัญญาณอันตรายที่คนอื่นอาจมองข้ามไป
ลองเอาไปใช้ดูนะ! ลองเลือกบริษัทที่เราชอบใช้สินค้าหรือบริการของเขา แล้วลองไปดำดิ่งดูตัวเลขพวกนี้ในงบการเงินของเขาดู ไม่แน่…เพื่อน ๆ อาจจะค้นพบบางอย่างที่น่าทึ่งก็ได้!