วิเคราะห์สภาพคล่องทางการเงินบริษัท: เปรียบเทียบ Current Ratio และ Quick Ratio

เจาะลึกสภาพคล่องบริษัท! Current Ratio vs Quick Ratio ต่างกันยังไง? เลือกใช้อันไหนดี?

หวัดดีเพื่อนๆ ทุกคน! พี่ชื่อ ‘พี่นัท’ นะ เป็นรุ่นพี่คณะบริหารฯ ที่กำลังอินกับการวิเคราะห์หุ้นและการเงินสุดๆ วันนี้เราจะมาคุยกันในเรื่องที่อาจจะฟังดู ‘ผู้ใหญ่’ ไปนิด แต่บอกเลยว่าโคตรเจ๋งและมีประโยชน์กับพวกเราในอนาคตแน่นอน นั่นก็คือเรื่อง “สภาพคล่องทางการเงินของบริษัท”

เคยสงสัยมั้ยว่าบริษัทใหญ่ๆ อย่าง CPALL (7-Eleven) หรือ AOT (สนามบิน) เค้ามีเงินสดพอจ่ายค่าพนักงาน จ่ายหนี้ระยะสั้นๆ หรือเปล่า? ถ้าเกิดวิกฤตเศรษฐกิจแบบไม่คาดฝัน เค้าจะรอดมั้ย? คำถามพวกนี้แหละ ที่เราจะใช้ฮีโร่ 2 ตัวมาช่วยตอบ นั่นคือ Current Ratio และ Quick Ratio

บทความนี้จะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับสองอัตราส่วนนี้แบบหมดเปลือก สไตล์นักศึกษาคุยกัน เข้าใจง่าย ไม่ต้องมีพื้นฐานก็อ่านได้ รับรองว่าอ่านจบแล้ว แกจะมองบริษัทต่างๆ ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป! พร้อมแล้วก็ลุยกันเลย!

พื้นฐานที่ต้องรู้: สภาพคล่องทางการเงิน (Financial Liquidity) คืออะไร?

ก่อนจะไปเจอฮีโร่ของเรา เรามาปูพื้นกันก่อน คำว่า “สภาพคล่อง” ฟังดูยาก แต่จริงๆ มันง่ายนิดเดียว

ลองนึกภาพตามนะ… สภาพคล่องก็เหมือนกับ “เงินสดในกระเป๋าตังค์” ของเรานี่แหละ ถ้าเรามีเงินสดเยอะ อยากจะซื้อชานมไข่มุก จ่ายค่าเน็ตมือถือ หรือให้เพื่อนยืมเงินฉุกเฉิน ก็ทำได้ทันที แบบนี้เรียกว่าเรามี “สภาพคล่องสูง”

ในโลกของบริษัทก็เหมือนกัน สภาพคล่องทางการเงิน คือความสามารถของบริษัทในการเปลี่ยน “สินทรัพย์” ที่ตัวเองมีให้กลายเป็น “เงินสด” ได้รวดเร็วแค่ไหน เพื่อเอาไปจ่าย “หนี้สินระยะสั้น” (หนี้ที่ต้องจ่ายคืนภายใน 1 ปี) ได้ทันเวลา

ทำไมมันถึงสำคัญเบอร์นี้?

  • บอกความอยู่รอด: บริษัทที่มีสภาพคล่องต่ำ ก็เหมือนคนกระเป๋าแห้ง ชักหน้าไม่ถึงหลัง เสี่ยงต่อการล้มละลายได้ง่ายๆ เลยนะ
  • สร้างความน่าเชื่อถือ: ถ้าบริษัทมีสภาพคล่องดี ธนาคารก็กล้าให้กู้เพิ่ม นักลงทุนก็อยากเอาเงินมาลง เพราะมั่นใจว่าบริษัทจะไม่เจ๊งง่ายๆ
  • คว้าโอกาสได้ทัน: มีเงินสดในมือเยอะ ก็พร้อมจะลงทุนขยายกิจการ หรือซื้อกิจการอื่นเวลาเจอดีลดีๆ ได้ก่อนใคร

โอเค! ตอนนี้เราเข้าใจคอนเซปต์ของสภาพคล่องแล้ว ก็ถึงเวลาแนะนำให้รู้จักกับเครื่องมือวัดสภาพคล่องที่ฮิตที่สุด 2 ตัวกันเลย!

พระเอกเบอร์หนึ่ง: Current Ratio (อัตราส่วนทุนหมุนเวียน)

Current Ratio คือพี่ใหญ่ในวงการ เป็นอัตราส่วนที่เบสิกที่สุดและคนใช้กันเยอะที่สุด เราอาจจะเรียกมันว่าเป็น “The Big Picture Guy” เพราะมันมองภาพรวมกว้างๆ ของสินทรัพย์และหนี้สินระยะสั้นทั้งหมด

สูตรคำนวณ Current Ratio

สูตรของมันง่ายมาก แค่เอาของสองอย่างมาหารกัน:

Current Ratio = สินทรัพย์หมุนเวียน (Current Assets) / หนี้สินหมุนเวียน (Current Liabilities)

เอ๊ะ! แล้วสองคำนี้มันคืออะไรกันล่ะ? มาดูกันทีละตัว

เจาะลึกส่วนประกอบ

  1. สินทรัพย์หมุนเวียน (Current Assets): คือทรัพย์สินทั้งหมดที่บริษัทคาดว่าจะเปลี่ยนเป็นเงินสด หรือใช้ให้หมดไปภายใน 1 ปีข้างหน้า ลองนึกถึงของในร้านสะดวกซื้อที่หมุนเวียนเข้าออกตลอดเวลา นั่นแหละ! ตัวอย่างเช่น:
    • เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด: ก็คือเงินสดในมือ ในธนาคารเลย ตรงตัวสุดๆ
    • ลูกหนี้การค้า (Accounts Receivable): เงินที่ลูกค้าติดบริษัทไว้ เช่น ขายของไปก่อนแล้วลูกค้ายังไม่จ่ายเงิน แต่เดี๋ยวเค้าก็จะเอาเงินมาจ่ายเรา (ภายใน 1 ปี)
    • สินค้าคงคลัง (Inventory): ของที่ผลิตเสร็จแล้วหรือซื้อมาเพื่อรอขาย เช่น ขนมในชั้นวางของ 7-Eleven, เสื้อผ้าในสต็อกของร้าน Uniqlo
  2. หนี้สินหมุนเวียน (Current Liabilities): คือหนี้สินหรือภาระผูกพันทั้งหมดที่บริษัทต้องจ่ายคืนภายใน 1 ปี ตัวอย่างเช่น:
    • เจ้าหนี้การค้า (Accounts Payable): เงินที่บริษัทติดคนอื่นไว้ เช่น ซื้อวัตถุดิบมาผลิตของ แต่ยังไม่ได้จ่ายเงินให้ซัพพลายเออร์
    • เงินกู้ยืมระยะสั้นจากธนาคาร: หนี้แบงก์ที่ต้องคืนในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
    • ค่าใช้จ่ายค้างจ่าย: เช่น เงินเดือนพนักงานที่ยังไม่ได้จ่าย, ค่า水电ที่ยังไม่ถึงกำหนดจ่าย

อ่านค่า Current Ratio ยังไง?

สมมติเราคำนวณออกมาได้ตัวเลขนึง แล้วมันแปลว่าอะไร?

  • Current Ratio > 1: เป็นสัญญาณที่ดี! หมายความว่าบริษัทมีสินทรัพย์หมุนเวียน มากกว่า หนี้สินหมุนเวียน เช่น ถ้าได้ 2 เท่า แปลว่ามีสินทรัพย์ระยะสั้นเป็น 2 เท่าของหนี้ระยะสั้น สบายใจได้ระดับนึงว่ามีปัญญาจ่ายหนี้แน่ๆ
  • Current Ratio = 1: หวาดเสียวไปหน่อย! แปลว่าสินทรัพย์กับหนี้สินเท่ากันพอดีเป๊ะ ถ้ามีอะไรผิดพลาด เช่น ลูกหนี้เบี้ยวหนี้ อาจจะหมุนเงินไม่ทันได้
  • Current Ratio < 1: สัญญาณอันตราย! หมายความว่าบริษัทมีหนี้ระยะสั้นมากกว่าสินทรัพย์ระยะสั้น เหมือนเรามีหนี้บัตรเครดิต 20,000 แต่มีเงินในบัญชีแค่ 10,000 แบบนี้เสี่ยงสูงมาก!

ตัวอย่าง: บริษัท กขค จำกัด มีสินทรัพย์หมุนเวียน 500,000 บาท และมีหนี้สินหมุนเวียน 250,000 บาท
Current Ratio = 500,000 / 250,000 = 2 เท่า
แปลว่าบริษัท กขค มีสภาพคล่องที่ดี มีสินทรัพย์หมุนเวียนครอบคลุมหนี้สินหมุนเวียนถึง 2 เท่า

พระรองสุดเข้ม: Quick Ratio (อัตราส่วนทุนหมุนเวียนเร็ว)

ถ้า Current Ratio คือพี่ใหญ่ใจดีที่มองภาพรวม Quick Ratio ก็คือนักวิเคราะห์สุดเฮี้ยบที่มองหาความจริงอันโหดร้าย! มันมีอีกชื่อที่เท่กว่านั้นคือ Acid-Test Ratio ซึ่งเดี๋ยวจะเฉลยใน Q&A ว่าทำไมถึงชื่อนี้

Quick Ratio เกิดมาเพื่อแก้จุดอ่อนของ Current Ratio ครับ จุดอ่อนที่ว่านั่นก็คือ “สินค้าคงคลัง (Inventory)”

ทำไมสินค้าคงคลังถึงเป็นจุดอ่อน? ก็เพราะว่ามันเป็นสินทรัพย์ที่ “สภาพคล่องต่ำที่สุด” ในบรรดาสินทรัพย์หมุนเวียนทั้งหมดไงล่ะ! ลองคิดดูสิ… เสื้อผ้าแฟชั่นที่ตกรุ่นไปแล้ว, มือถือรุ่นเก่าที่ยังค้างสต็อก, หรืออาหารสดที่ใกล้จะหมดอายุ ของพวกนี้อาจจะขายไม่ออกเลยก็ได้ หรือถ้าจะขายก็ต้องลดราคาแบบขาดทุนยับเยิน การจะเปลี่ยนมันเป็น “เงินสด” ทันทีที่ต้องการนั้นยากมาก

Quick Ratio เลยบอกว่า “เห้ย! ไม่นับๆ สินค้าคงคลังเนี่ยมันไม่แน่นอน ตัดมันออกไปก่อน แล้วมาดูกันว่าที่เหลือจะยังพอจ่ายหนี้มั้ย” นี่แหละคือความเข้มของมัน

สูตรคำนวณ Quick Ratio

สูตรเลยคล้ายกับ Current Ratio มาก แค่หักน้อง Inventory ออกไปจากสินทรัพย์เท่านั้นเอง

Quick Ratio = (สินทรัพย์หมุนเวียน - สินค้าคงคลัง) / หนี้สินหมุนเวียน

หรือบางทีอาจจะเห็นสูตรแบบนี้ ซึ่งความหมายเหมือนกันเป๊ะๆ

Quick Ratio = (เงินสด + ลูกหนี้การค้า + การลงทุนระยะสั้น) / หนี้สินหมุนเวียน

อ่านค่า Quick Ratio ยังไง?

หลักการคล้ายๆ เดิม แต่มาตรฐานจะเข้มขึ้น

  • Quick Ratio ≥ 1: ถือว่าดีเยี่ยม! หมายความว่าบริษัทมีสินทรัพย์ที่สภาพคล่องสูงจริงๆ (เงินสด, ลูกหนี้) พอที่จะจ่ายหนี้ระยะสั้นทั้งหมดได้ โดยไม่ต้องพึ่งการขายสินค้าในสต็อกเลยแม้แต่ชิ้นเดียว คือแข็งแกร่งมาก
  • Quick Ratio < 1: ต้องพิจารณาเพิ่มเติม อาจจะยังไม่แย่เสมอไป โดยเฉพาะในธุรกิจค้าปลีกที่มีสินค้าคงคลังเยอะ แต่ถ้าต่ำกว่า 1 มากๆ เช่น 0.5 ก็แปลว่าบริษัทต้องพึ่งพาการขายสต็อกสินค้าอย่างหนักเพื่อเอาเงินมาจ่ายหนี้ ซึ่งมีความเสี่ยง

ตัวอย่าง (ต่อจากเดิม): บริษัท กขค จำกัด มีสินทรัพย์หมุนเวียน 500,000 บาท โดยในจำนวนนี้เป็นสินค้าคงคลังไปซะ 200,000 บาท และมีหนี้สินหมุนเวียน 250,000 บาท
Quick Ratio = (500,000 - 200,000) / 250,000 = 300,000 / 250,000 = 1.2 เท่า
แปลว่าถึงแม้จะไม่นับสต็อกสินค้าเลย บริษัท กขค ก็ยังมีสภาพคล่องสูงพอที่จะจ่ายหนี้ได้สบายๆ ถือว่าแกร่งจริง!

เปรียบเทียบหมัดต่อหมัด: Current Ratio vs Quick Ratio

ถึงตรงนี้เพื่อนๆ คงพอเห็นภาพแล้วว่าทั้งสองตัวต่างกันยังไง เพื่อให้ชัดเจนขึ้นไปอีก พี่ทำตารางเปรียบเทียบมาให้ดูกันจะๆ ไปเลย

หัวข้อเปรียบเทียบ Current Ratio Quick Ratio (Acid-Test Ratio)
เป้าหมายหลัก วัดความสามารถในการชำระหนี้ระยะสั้นแบบภาพรวม วัดความสามารถในการชำระหนี้ระยะสั้น “แบบทันที”
ส่วนประกอบสำคัญ รวมสินทรัพย์หมุนเวียนทุกตัว (รวมสินค้าคงคลัง) ไม่รวม สินค้าคงคลังออกจากสินทรัพย์หมุนเวียน
ความเข้มงวด เข้มงวดน้อยกว่า (Conservative น้อยกว่า) เข้มงวดกว่ามาก (Conservative มากกว่า)
บอกอะไรเรา? บริษัทมีทรัพยากรระยะสั้นพอจ่ายหนี้ระยะสั้นหรือไม่? ถ้าบริษัทหยุดขายของวันนี้เลย จะมีเงินจ่ายหนี้ทั้งหมดหรือไม่?
เหมาะกับธุรกิจแบบไหน? ใช้ได้กับทุกธุรกิจเพื่อดูภาพรวม สำคัญมากในธุรกิจที่มีสินค้าคงคลังเยอะและขายออกช้า เช่น ร้านเฟอร์นิเจอร์, ค้าปลีกสินค้าแฟชั่น
จุดที่ต้องระวัง อาจให้ภาพที่ดูดีเกินจริง ถ้าบริษัทมีสินค้าคงคลังที่ขายไม่ออกเยอะ อาจจะเข้มงวดเกินไปสำหรับธุรกิจที่ขายของเร็วมาก เช่น ซูเปอร์มาร์เก็ต ที่สต็อกหมุนเวียนเป็นเงินสดทุกวัน

ข้อสรุปสำคัญ: มันไม่ใช่การเลือกว่าจะใช้อันไหนดีกว่ากัน แต่เราต้องใช้ทั้งสองอย่างคู่กันเสมอ! เหมือนมีกล้อง 2 ตัว ตัวนึงถ่ายภาพมุมกว้าง (Current Ratio) อีกตัวซูมเข้าไปดูรายละเอียดที่สำคัญ (Quick Ratio) เพื่อให้เราเห็นภาพรวมของสุขภาพการเงินบริษัทได้ครบ 360 องศา

ถามมา-ตอบไป! เคลียร์ทุกข้อสงสัยสไตล์เด็กการเงิน (AEO/Q&A)

Q1: สรุปแล้วอัตราส่วนที่ดีควรเป็นเท่าไหร่กันแน่ครับพี่?

A: คำถามยอดฮิตเลย! ไม่มีคำตอบตายตัวว่า “เลขนี้ดีที่สุด” เพราะ “ค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม” สำคัญมาก เช่น ธุรกิจซอฟต์แวร์แทบไม่มีสินค้าคงคลังเลย Current Ratio กับ Quick Ratio อาจจะใกล้กันและสูงมาก แต่ธุรกิจซูเปอร์มาร์เก็ตอย่าง Makro ที่ของขายออกเร็วทุกวัน Quick Ratio อาจจะต่ำกว่า 1 แต่ก็ไม่ได้แปลว่าแย่ วิธีที่ดีที่สุดคือเอาไปเทียบกับบริษัทคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกันครับ

Q2: ถ้า Current Ratio สูงมากๆ เช่น 5 เท่า, 10 เท่า แบบนี้คือดีสุดๆ ไปเลยใช่ไหม?

A: ไม่เสมอไป! นี่คือกับดักที่หลายคนพลาด การที่ Current Ratio สูงเกินไปอาจเป็นสัญญาณว่าบริษัท “บริหารสินทรัพย์ได้ไม่มีประสิทธิภาพ” เช่น มีเงินสดกองไว้ในบัญชีเยอะเกินไปโดยไม่เอาไปลงทุนให้งอกเงย หรือมีลูกหนี้การค้าเยอะมาก (ขายของแต่เก็บเงินไม่ได้) ซึ่งไม่ใช่เรื่องดีเหมือนกันครับ อะไรที่มากเกินไปก็ไม่ดีเสมอไปนะ

Q3: แล้วเราจะไปหาข้อมูล “สินทรัพย์หมุนเวียน” กับ “หนี้สินหมุนเวียน” ของบริษัทในไทยได้จากที่ไหน?

A: ง่ายมาก! สำหรับบริษัทที่อยู่ในตลาดหุ้นไทยนะ เข้าไปที่เว็บไซต์ของ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (www.set.or.th) ค้นหาชื่อหุ้นที่สนใจ แล้วเข้าไปดูในส่วนของ “ข้อมูลงบการเงิน” เราจะเจองบดุล (Balance Sheet) ซึ่งมีข้อมูลพวกนี้ครบถ้วนเลย หรือจะดูจากแอป Streaming ที่เราใช้เทรดหุ้นก็ได้เหมือนกัน

Q4: ทำไม Quick Ratio ถึงมีอีกชื่อว่า Acid-Test Ratio ครับ?

A: เป็นเกร็ดความรู้ที่เท่มาก! คำนี้มีที่มาจากยุคตื่นทองครับ สมัยก่อนคนจะทดสอบว่าโลหะที่เจอเป็น “ทองคำแท้” หรือไม่ เค้าจะใช้ “กรด (Acid)” หยดลงไป ถ้าเป็นทองปลอมหรือมีส่วนผสมอื่น มันจะเกิดฟองฟู่หรือเปลี่ยนสี แต่ถ้าเป็นทองคำแท้ มันจะทนทาน ไม่เปลี่ยนแปลงอะไรเลย… เปรียบเหมือนการทดสอบสภาพคล่องของบริษัทนั่นแหละครับ การเอาสินค้าคงคลัง (สิ่งเจือปน) ออกไป ก็เหมือนการใช้กรดทดสอบว่าสินทรัพย์ที่เหลืออยู่ “ของจริง” และ “ทนทาน” พอที่จะจ่ายหนี้ได้หรือไม่… เท่ปะล่ะ?

Q5: สำหรับวัยรุ่นอย่างเราๆ รู้เรื่องนี้ไปทำอะไรได้บ้างครับ?

A: ประโยชน์เยอะกว่าที่คิดนะ!

  • ทำรายงาน/โครงงาน: เอาไปใช้วิเคราะห์บริษัทในวิชาสังคม เศรษฐศาสตร์ หรือการงานอาชีพได้เลย เท่กว่าเพื่อนแน่นอน
  • เตรียมตัวลงทุน: ใครสนใจอยากเริ่มออมเงินในหุ้น หรือซื้อกองทุนรวม การอ่านค่าพวกนี้เป็นคือสกิลพื้นฐานที่สำคัญมาก จะได้ไม่โดนหลอก
  • เข้าใจข่าวเศรษฐกิจ: เวลาฟังข่าวแล้วเค้าพูดว่า “บริษัท A มีปัญหาสภาพคล่อง” เราจะเก็ททันทีว่าหมายถึงอะไร
  • ประยุกต์ใช้กับตัวเอง: เราลองทำ “งบดุลส่วนตัว” ได้นะ! สินทรัพย์หมุนเวียน (เงินสดในกระเป๋า, เงินในบัญชี) หนี้สินหมุนเวียน (เงินที่ยืมเพื่อน, ค่าขนมที่ติดแม่ไว้) ลองคำนวณดูสิว่าสภาพคล่องส่วนตัวเราเป็นยังไง!

บทสรุป: ไม่ต้องเลือก แต่ต้องใช้คู่กัน!

มาถึงตรงนี้ พี่เชื่อว่าเพื่อนๆ ทุกคนน่าจะเข้าใจความแตกต่างและหน้าที่ของ Current Ratio และ Quick Ratio กันอย่างชัดเจนแล้ว

ขอสรุปส่งท้ายแบบจำง่ายๆ ว่า:

  • Current Ratio คือการเช็กสุขภาพการเงินแบบ “ภาพรวม” ถามคำถามกว้างๆ ว่า “มีสินทรัพย์ระยะสั้นพอจ่ายหนี้ระยะสั้นมั้ย?”
  • Quick Ratio คือการเช็กสุขภาพแบบ “เจาะเลือด” ที่เข้มข้นขึ้น ถามคำถามที่โหดกว่าว่า “ถ้าวันนี้ขายของไม่ได้เลยสักชิ้น จะยังรอดมั้ย?”

การวิเคราะห์บริษัทก็เหมือนกับการสืบคดีของโคนัน เราต้องเก็บหลักฐานหลายๆ ชิ้นมาประกอบกัน การดูแค่อัตราส่วนตัวเดียวอาจทำให้เราตัดสินใจพลาดได้ ดังนั้น จงใช้ทั้ง Current Ratio และ Quick Ratio ควบคู่ไปกับอัตราส่วนการเงินอื่นๆ เพื่อให้ได้มุมมองที่สมบูรณ์ที่สุดก่อนจะตัดสินใจลงทุน หรือแม้กระทั่งก่อนจะตัดสินใจไปทำงานกับบริษัทนั้นๆ ในอนาคต

หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์และจุดประกายให้เพื่อนๆ หันมาสนใจโลกการเงินกันมากขึ้นนะครับ มันอาจจะดูซับซ้อนในตอนแรก แต่ถ้าเราค่อยๆ เรียนรู้ไปทีละนิด มันคือทักษะติดตัวที่จะมีค่ามากๆ ในอนาคตแน่นอน!

ใครมีคำถามหรืออยากแลกเปลี่ยนอะไร คอมเมนต์ไว้ได้เลยนะ!
แล้วเจอกันบทความหน้านะเพื่อนๆ!
– พี่นัท –

“`

Most Popular

Categories