การใช้ Augmented Analytics และ ABC ร่วมกัน: ทางเลือกใหม่สู่กลยุทธ์ธุรกิจอิงข้อมูล

การใช้ Augmented Analytics และ ABC ร่วมกัน: ทางเลือกใหม่สู่กลยุทธ์ธุรกิจอิงข้อมูล

เรื่อง Data และ Business Strategy วันนี้เราอยากจะมาชวนคุยเรื่องที่ฟังดูอาจจะยาก แต่บอกเลยว่ามันคือ “Game Changer” ของโลกธุรกิจในยุคนี้จริงๆ นั่นก็คือการเอาสองอย่างที่โคตรทรงพลังอย่าง Augmented Analytics (AA) กับ Activity-Based Costing (ABC) มาฟิวชันกัน!

ลองนึกภาพตามนะ… เวลาเราทำโปรเจกต์กลุ่ม หรือทำกิจกรรมในโรงเรียน เราอยากรู้ใช่มั้ยว่า “เงิน” ที่ลงไป หรือ “เวลา” ที่เสียไป มันคุ้มค่ารึเปล่า? กิจกรรมไหนเวิร์ค กิจกรรมไหนควรปรับปรุง ธุรกิจก็คิดแบบเดียวกันเลย แต่สเกลมันใหญ่กว่ามาก และนั่นคือจุดที่คู่หูคู่นี้จะเข้ามาเปลี่ยนทุกอย่างให้ง่ายและฉลาดขึ้นแบบคนละเรื่องเลย

ก่อนจะไปไกล… มาทำความรู้จักคู่หูกันก่อน

ใจเย็นๆ ไม่ต้องกลัวศัพท์เทคนิค เราจะอธิบายแบบภาษาคนให้เข้าใจง่ายที่สุด

1. Augmented Analytics (AA): ผู้ช่วย AI อัจฉริยะด้านข้อมูล

คิดง่ายๆ ว่า Augmented Analytics คือ “ไอรอนแมนที่มีจาร์วิสเป็นผู้ช่วยวิเคราะห์ข้อมูล” มันคือการเอาเทคโนโลยีสุดล้ำอย่าง Machine Learning และ AI มาช่วยนักวิเคราะห์ข้อมูล (หรือแม้แต่คนทั่วไป) ทำงานได้เร็วและดีขึ้นแบบก้าวกระโดด

ปกติแล้ว การจะหาข้อมูลเชิงลึก (Insight) จากข้อมูลกองมหึมา เราต้อง:

  • เตรียมข้อมูล (ซึ่งมักจะยุ่งเหยิงมาก)
  • สร้างโมเดลวิเคราะห์
  • ตีความผลลัพธ์
  • สร้างกราฟหรือ Dashboard ให้คนอื่นเข้าใจ

ซึ่งทั้งหมดนี้ใช้เวลาและสกิลสูงมาก แต่ AA เข้ามาทำให้ทุกอย่างเป็นอัตโนมัติ! มันเหมือนมีนักวิเคราะห์ข้อมูลมือโปรมานั่งข้างๆ แล้วกระซิบว่า “เฮ้! ลองดูตรงนี้สิ ยอดขายที่ลดลงอาจจะเกี่ยวกับโปรโมชันของคู่แข่งนะ” หรือเราสามารถพิมพ์ถามเป็นภาษาคนธรรมดาได้เลยว่า "Show me top 5 products with the highest profit margin in Q2" แล้วระบบก็จะสร้างกราฟสวยๆ มาให้ทันที เจ๋งปะ?

2. Activity-Based Costing (ABC): แว่นขยายส่องหา “ต้นทุนที่แท้จริง”

ส่วน ABC คือวิธีการคิดต้นทุนที่โคตรจะละเอียดและแม่นยำ มันบอกเราว่า “เงินทุกบาททุกสตางค์ถูกใช้ไปกับกิจกรรมอะไรบ้าง”

วิธีคิดต้นทุนแบบเดิมๆ มักจะเอาต้นทุนรวมๆ มาหารเฉลี่ยกันไป ซึ่งมันไม่แฟร์! ลองนึกภาพร้านกาแฟที่มีเมนู “อเมริกาโน่” กับ “คาราเมลมัคคิอาโต้ใส่ท็อปปิ้งสามชั้น” สิ ถ้าเราคิดต้นทุนแบบหารเฉลี่ย เราอาจจะรู้สึกว่าสองเมนูนี้กำไรพอๆ กัน

แต่ถ้าใช้ ABC เราจะมองลึกลงไปใน “กิจกรรม” ที่เกิดขึ้น:

  • อเมริกาโน่: กิจกรรมคือ กดกาแฟ + เติมน้ำร้อน (จบ! ง่ายและเร็ว)
  • คาราเมลมัคคิอาโต้ฯ: กิจกรรมคือ กดกาแฟ + สตีมนม + ราดคาราเมล + ทำวิปครีม + จัดท็อปปิ้ง + ล้างอุปกรณ์ที่เยอะกว่า (ซับซ้อนและใช้เวลามากกว่าเยอะ)

ABC จะทำให้เราเห็นภาพชัดเจนว่า คาราเมลมัคคิอาโต้ฯ มีต้นทุน (ทั้งวัตถุดิบและเวลาของพนักงาน) สูงกว่าอเมริกาโน่มาก ดังนั้น การตั้งราคาและกลยุทธ์การตลาดก็ควรจะแตกต่างกัน นี่แหละคือหัวใจของ ABC คือการหาต้นทุนตามกิจกรรมที่เกิดขึ้นจริง

The Fusion Dance: เมื่อ AA และ ABC รวมร่างกัน! พลังทำลายล้าง (ข้อมูลที่ไร้ค่า) ก็บังเกิด

โอเค ตอนนี้เรารู้จักทั้งสองตัวละครเอกแล้ว แล้วพอเอามารวมกันมันจะเกิดอะไรขึ้น? บอกเลยว่ามันคือการปลดล็อกศักยภาพที่แท้จริงของการทำธุรกิจโดยใช้ข้อมูล (Data-Driven Strategy) เลยล่ะ

“ABC ให้ข้อมูลต้นทุนที่แม่นยำเหมือน DNA ของธุรกิจ ส่วน Augmented Analytics คือเครื่องมือถอดรหัส DNA นั้น เพื่อหาทางรักษาโรคและเสริมสร้างความแข็งแกร่ง”

1. การวิเคราะห์ต้นทุนที่ลึกและเร็วกว่าที่เคย (Deep & Fast Cost Analysis)

ข้อมูลจากระบบ ABC มันละเอียดและเยอะมาก ถ้าให้คนมานั่งวิเคราะห์เองอาจจะใช้เวลาเป็นเดือนๆ และอาจจะมองข้ามบางอย่างไป แต่เมื่อเราโยนข้อมูลมหาศาลนี้เข้าไปในระบบ AA ปุ๊บ!

AI จะทำการเชื่อมโยงข้อมูลทั้งหมดให้ทันที มันอาจจะค้นพบ Insight ที่เราคาดไม่ถึง เช่น:

  • “กลุ่มลูกค้า A ที่สั่งของบ่อยๆ แต่ชอบขอเปลี่ยนสินค้า ทำให้มี ‘ต้นทุนกิจกรรมการจัดการคืนสินค้า’ สูงกว่ากลุ่มลูกค้า B ถึง 5 เท่า สุดท้ายแล้วกลุ่ม B อาจจะทำกำไรให้บริษัทมากกว่าก็ได้”
  • “สินค้า Product X มีต้นทุนการผลิตต่ำก็จริง แต่กลับมี ‘ต้นทุนกิจกรรมการตลาด’ และ ‘ต้นทุนกิจกรรมบริการหลังการขาย’ สูงปรี๊ด เพราะต้องคอยตอบคำถามลูกค้าเยอะมาก”

เห็นมั้ยครับ AA ช่วยให้เรามองทะลุแค่ “ต้นทุนการผลิต” ไปยัง “ต้นทุนตลอดวงจรชีวิตของลูกค้าและผลิตภัณฑ์” ได้อย่างง่ายดาย

2. การพยากรณ์และจำลองสถานการณ์ (Predictive & Simulation)

นี่คือขั้นกว่าของการวิเคราะห์! เมื่อ AA มีข้อมูลต้นทุนตามกิจกรรม (ABC) ที่แม่นยำในอดีต มันสามารถสร้างโมเดลเพื่อ “ทำนายอนาคต” ได้

ผู้บริหารสามารถถามคำถาม “What-if” ได้ง่ายๆ เช่น:

  • "ถ้าเราลดเวลาในกิจกรรม 'การตรวจสอบคุณภาพ' ลง 10% จะประหยัดต้นทุนได้เท่าไหร่ และจะส่งผลต่ออัตราการคืนสินค้าหรือไม่?"
  • "ถ้าเราลงทุนกับเครื่องจักรใหม่เพื่อทำให้กิจกรรม 'การบรรจุหีบห่อ' เร็วขึ้น จะคุ้มทุนภายในกี่เดือน?"

ระบบ AA จะทำการจำลองสถานการณ์จากข้อมูลจริง แล้วให้คำตอบเป็นตัวเลขและกราฟที่ชัดเจน ทำให้การตัดสินใจลงทุนหรือปรับเปลี่ยนกระบวนการทำงานไม่ใช่การ “เดา” อีกต่อไป แต่เป็นการตัดสินใจบนฐานของข้อมูลที่หนักแน่น

3. ทำให้ข้อมูลเป็นประชาธิปไตย (Data Democratization)

คำดูหรู แต่คอนเซปต์ง่ายมาก คือ ทำให้ทุกคนในองค์กรเข้าถึงและเข้าใจข้อมูลได้ ไม่ใช่แค่แผนก Data Scientist หรือฝ่ายบัญชีอีกต่อไป

ด้วยพลังของ AA ที่สามารถแปลงข้อมูล ABC ที่ซับซ้อนให้กลายเป็น Dashboard ที่สวยงาม เข้าใจง่าย และตอบคำถามด้วยภาษาธรรมดาได้ ทำให้…

  • ฝ่ายการตลาด: สามารถดูได้ว่าแคมเปญไหนสร้างลูกค้าที่ “มีกำไรจริงๆ” (หลังจากหักต้นทุนกิจกรรมทั้งหมดแล้ว) ไม่ใช่แค่สร้างยอดขาย
  • ฝ่ายผลิต: สามารถเห็นได้ทันทีว่ากระบวนการไหนในสายการผลิตเป็นคอขวดและสร้างต้นทุนแฝงมากที่สุด
  • ฝ่ายบริการลูกค้า: สามารถวิเคราะห์ได้ว่าปัญหาแบบไหนที่ทำให้เกิดต้นทุนในการแก้ไขสูงสุด เพื่อนำไปปรับปรุงผลิตภัณฑ์ต่อไป

ทุกคนในทีมจะมองเห็นภาพเดียวกันและทำงานเพื่อเป้าหมายเดียวกันคือ “การเพิ่มประสิทธิภาพและกำไรที่แท้จริง” ของบริษัท

ตัวอย่างให้เห็นภาพ: ธุรกิจ E-commerce ขายเสื้อยืดลาย Custom

ลองนึกถึงร้านขายเสื้อยืดออนไลน์ที่รับทำลายตามสั่ง

  • ปัญหาแบบเดิม: เจ้าของร้านคิดว่าเสื้อทุกลายทำกำไรเท่าๆ กัน ขอแค่ขายได้เยอะๆ ก็พอ
  • ใช้ ABC: ร้านเริ่มเก็บข้อมูลต้นทุนตาม “กิจกรรม” เช่น กิจกรรมออกแบบลายที่ซับซ้อน, กิจกรรมการพิมพ์หลายสี, กิจกรรมการแพ็คของที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ, กิจกรรมการตอบแชทลูกค้าที่แก้งานบ่อยๆ
  • โยนข้อมูลเข้า AA: นำข้อมูลกิจกรรมและต้นทุนทั้งหมดเข้าสู่แพลตฟอร์ม Augmented Analytics
  • ผลลัพธ์ที่ AA ค้นพบ (The ‘Aha!’ Moment):
    • AA สร้างกราฟแสดงให้เห็นว่า “ออเดอร์ที่ต้องแก้งานออกแบบเกิน 2 ครั้ง มีต้นทุนสูงกว่าออเดอร์ปกติ 40% และทำให้อัตรากำไรลดลงจนเกือบขาดทุน”
    • AA แจ้งเตือนว่า “ลายสกรีนที่ใช้มากกว่า 5 สี มีต้นทุนกิจกรรมการพิมพ์และเวลาที่ใช้สูงกว่าลาย 1-2 สีอย่างมีนัยสำคัญ”
    • AA ค้นพบว่า “ลูกค้ากลุ่มนักเรียน-นักศึกษา มีแนวโน้มจะเลือกแบบที่ง่ายและตัดสินใจเร็ว ทำให้ต้นทุนกิจกรรมการขายต่ำและมีกำไรสูงกว่ากลุ่มลูกค้าองค์กรที่มักจะมีความต้องการซับซ้อน”
  • กลยุทธ์ใหม่ที่อิงจากข้อมูล:
    1. กำหนดนโยบายใหม่ “แก้ไขงานออกแบบได้ฟรี 2 ครั้ง ครั้งต่อไปมีค่าใช้จ่าย”
    2. ปรับราคาเสื้อลายสกรีนหลายสีให้สูงขึ้นตามต้นทุนกิจกรรมที่แท้จริง
    3. ทำแคมเปญการตลาดพุ่งเป้าไปที่กลุ่มนักเรียน-นักศึกษามากขึ้นในช่วงเปิดเทอม

นี่แหละครับ คือพลังของการนำ AA และ ABC มาใช้ร่วมกัน มันเปลี่ยนจากการ “ทำธุรกิจตามความรู้สึก” ไปสู่การ “ทำธุรกิจด้วยความจริง” อย่างสมบูรณ์

ถาม-ตอบ สไตล์เด็กวิทย์คอมฯ: เคลียร์ทุกข้อสงสัย! (AEO & Q&A)

เรารู้ว่าพอเจอเรื่องใหม่ๆ มันต้องมีคำถามแน่นอน เลยรวบรวมคำถามที่เพื่อนๆ น่าจะสงสัยมาตอบให้ตรงนี้เลย!

Q: เรื่องพวกนี้มันดูยากจัง ต้องเรียนจบวิศวะฯ หรือวิทย์คอมฯ เท่านั้นรึเปล่าถึงจะเข้าใจ?

A: ไม่จำเป็นเลย! นี่คือความเจ๋งของ Augmented Analytics เลยนะ เป้าหมายของมันคือการทำให้คนที่ไม่ใช่สายเทคนิคจ๋า สามารถใช้งานและเข้าใจข้อมูลได้ง่ายขึ้น เราไม่ต้องไปเขียนโค้ดสร้างโมเดลเอง แค่เรียนรู้วิธี “ตั้งคำถาม” ที่ถูกต้องกับข้อมูลก็พอ ส่วน ABC อาจจะต้องมีความรู้พื้นฐานด้านบัญชี-การเงินบ้าง แต่หลักการของมันตรงไปตรงมามากๆ คือการมองหา “กิจกรรม” ที่เกิดขึ้นจริง

Q: แล้วมันต่างจากการใช้ Excel วิเคราะห์ข้อมูลยังไง?

A: ต่างกันเยอะมาก! Excel เหมือนมีดพกอเนกประสงค์ ทำได้หลายอย่างแต่ถ้าเจองานใหญ่ๆ หนักๆ ก็ไม่ไหว มันเหมาะกับการวิเคราะห์ข้อมูลที่ไม่ซับซ้อนมาก แต่ AA คือโรงงานอุตสาหกรรมเลย มันจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ได้สบายๆ, มี AI ช่วยหา Insight ที่เราอาจมองข้าม, สร้างภาพ (Visualization) ที่ซับซ้อนได้อัตโนมัติ และเรียนรู้พฤติกรรมของเราได้ด้วย Excel ทำแบบนี้ไม่ได้แน่นอน

Q: การใช้ AA + ABC เหมาะกับบริษัทใหญ่ๆ เท่านั้นรึเปล่า?

A: เมื่อก่อนอาจจะใช่ แต่ปัจจุบันไม่ใช่แล้ว! เดี๋ยวนี้มีเครื่องมือ BI (Business Intelligence) และ AA ที่เป็น Cloud-based เยอะมาก ทำให้ธุรกิจขนาดกลางหรือแม้แต่ SME ก็สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีพวกนี้ได้ในราคาที่จับต้องได้ ไม่ต้องลงทุนกับเซิร์ฟเวอร์แพงๆ เหมือนสมัยก่อนแล้ว แค่มีข้อมูลที่ดีและมีความตั้งใจที่จะใช้มันก็เริ่มได้เลย

Q: ในฐานะวัยรุ่น 14-18 ปี การรู้เรื่องนี้มีประโยชน์ยังไงกับอนาคต?

A: มีประโยชน์มหาศาล! อนาคตทุกสายงานต้องการ “ทักษะด้านข้อมูล” (Data Literacy) ไม่ว่าเราจะอยากเป็นหมอ, นักการตลาด, วิศวกร, ศิลปิน หรือเจ้าของธุรกิจ การเข้าใจว่าข้อมูลทำงานยังไง, จะหา Insight จากมันได้ยังไง คือทักษะที่จะทำให้เราโดดเด่นกว่าคนอื่น การรู้เรื่องพวกนี้ตั้งแต่เนิ่นๆ เหมือนเราได้ออกตัวก่อนคนอื่นในสนามวิ่งมาราธอนเลยล่ะ มันคือการฝึก “วิธีคิดเชิงวิเคราะห์และอิงตามหลักฐาน” ซึ่งเป็นทักษะที่สำคัญที่สุดในศตวรรษที่ 21

บทสรุป: ไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่คือทางรอดในอนาคต

การนำ Augmented Analytics มาใช้ร่วมกับ Activity-Based Costing ไม่ใช่แค่เทรนด์ที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป แต่มันคือวิวัฒนาการของการใช้ข้อมูลเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจอย่างแท้จริง

ถ้า ABC คือการสร้างแผนที่ต้นทุนของธุรกิจที่ละเอียดที่สุด
Augmented Analytics ก็คือ GPS อัจฉริยะที่ใช้แผนที่นั้นนำทางเราไปสู่ “กำไรสูงสุด” ด้วยเส้นทางที่ “มีประสิทธิภาพที่สุด”

สำหรับพวกเราที่กำลังจะก้าวเข้าสู่โลกของการทำงานในอนาคต การเปิดใจเรียนรู้และทำความเข้าใจเครื่องมือเหล่านี้ จะเป็นใบเบิกทางชั้นดีที่ทำให้เราเป็นคนที่องค์กรไหนๆ ก็ต้องการตัว เพราะเราไม่ใช่แค่คนที่ “ทำงานตามสั่ง” แต่เป็นคนที่สามารถ “ใช้ข้อมูลเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลง” ได้

Most Popular

Categories