การบัญชีสำหรับตราสารอนุพันธ์ตามมาตรฐานใหม่ ข้อควรรู้และตัวอย่างใช้งาน

การบัญชีสำหรับตราสารอนุพันธ์ตามมาตรฐานใหม่: ข้อควรรู้และตัวอย่างใช้งาน

การบัญชีสำหรับตราสารอนุพันธ์ตามมาตรฐานใหม่
ข้อควรรู้และตัวอย่างใช้งาน

ในโลกของการเงินที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ตราสารอนุพันธ์ (Derivatives) ได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ธุรกิจใช้ในการบริหารความเสี่ยงและสร้างโอกาสในการลงทุน อย่างไรก็ตาม ความซับซ้อนของมันก็ได้สร้างความท้าทายอย่างยิ่งให้กับเหล่านักบัญชี การปรับตัวให้ทันกับมาตรฐานการบัญชีใหม่ๆ จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะสำหรับนักศึกษาปริญญาตรีบัญชี ที่กำลังจะก้าวเข้าสู่วิชาชีพ สถาบันการศึกษาชั้นนำอย่าง มหาวิทยาลัยศรีปทุม (SPU) จึงได้บรรจุเนื้อหาเหล่านี้ไว้ในหลักสูตรเพื่อเตรียมความพร้อมให้บัณฑิตอย่างเต็มที่ บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจหลักการสำคัญและดูตัวอย่างการใช้งานจริงกันครับ

1. ตราสารอนุพันธ์ (Derivatives) คืออะไร

ตราสารอนุพันธ์ คือ สัญญาทางการเงินที่มูลค่าของมันขึ้นอยู่กับมูลค่าของสินทรัพย์อ้างอิง (Underlying Asset) อื่นๆ เช่น อัตราแลกเปลี่ยน, อัตราดอกเบี้ย, ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ หรือราคาหุ้น ตราสารอนุพันธ์ที่พบบ่อยได้แก่:

  • สัญญาฟอร์เวิร์ด (Forward Contracts): สัญญาซื้อขายสินทรัพย์ในอนาคตตามราคาที่ตกลงกันไว้ ณ ปัจจุบัน
  • สัญญาฟิวเจอร์ส (Futures Contracts): คล้ายกับฟอร์เวิร์ด แต่เป็นสัญญามาตรฐานและซื้อขายในตลาดที่เป็นทางการ
  • ออปชัน (Options): สัญญาที่ให้ “สิทธิ” ในการซื้อ (Call Option) หรือขาย (Put Option) สินทรัพย์ในอนาคตตามราคาที่กำหนด
  • สวอป (Swaps): สัญญาแลกเปลี่ยนกระแสเงินสดในอนาคต เช่น การแลกเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยคงที่กับลอยตัว

ธุรกิจใช้เครื่องมือทางการเงินเหล่านี้เป็นหลักเพื่อ “ป้องกันความเสี่ยง” (Hedging) จากความผันผวนของตลาด ซึ่งเป็นกลยุทธ์สำคัญในโลกการเงินสมัยใหม่

2. มาตรฐาน TFRS 9 กับการจัดการตราสารอนุพันธ์สำหรับนักบัญชี

มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 9 (TFRS 9) เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน เป็นมาตรฐานหลักที่นักบัญชีต้องทำความเข้าใจเมื่อต้องจัดการกับตราสารอนุพันธ์ โดยมีหลักการสำคัญดังนี้:

การรับรู้รายการและการวัดมูลค่า (Recognition and Measurement)

โดยทั่วไป ตราสารอนุพันธ์จะถูกวัดมูลค่าด้วย มูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรหรือขาดทุน (Fair Value through Profit or Loss – FVTPL) หมายความว่า ทุกการเปลี่ยนแปลงของมูลค่ายุติธรรมจะถูกรับรู้ในงบกำไรขาดทุนทันที ซึ่งสะท้อนความเสี่ยงและความผันผวนที่เกิดขึ้นจริง

การบัญชีป้องกันความเสี่ยง (Hedge Accounting)

นี่คือหัวใจสำคัญ! หากธุรกิจใช้ตราสารอนุพันธ์เพื่อป้องกันความเสี่ยงอย่างชัดเจน TFRS 9 อนุญาตให้ใช้การบัญชีป้องกันความเสี่ยงได้ ซึ่งจะทำให้ผลกำไรขาดทุนของเครื่องมือป้องกันความเสี่ยง (ตัวอนุพันธ์) และรายการที่ถูกป้องกันความเสี่ยง ถูกรับรู้ในงบกำไรขาดทุนใน “ช่วงเวลาเดียวกัน” ช่วยลดความผันผวนของกำไรที่อาจเกิดจากการวัดมูลค่าที่ไม่สอดคล้องกัน การทำความเข้าใจเรื่องนี้ถือเป็นทักษะสำคัญที่นักศึกษาปริญญาตรีบัญชีต้องเรียนรู้

3. ตัวอย่างการบันทึกบัญชีตราสารอนุพันธ์เพื่อป้องกันความเสี่ยง

เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น ลองดูสถานการณ์สมมตินี้:

สถานการณ์: บริษัท A (บริษัทไทย) สั่งซื้อเครื่องจักรจากสหรัฐอเมริกา ราคา 100,000 USD โดยจะชำระเงินในอีก 3 เดือนข้างหน้า บริษัท A กังวลว่าเงินบาทจะอ่อนค่าลง (ต้องใช้เงินบาทมากขึ้นเพื่อแลก 1 USD) จึงทำสัญญาซื้อเงิน USD ล่วงหน้า (Forward Contract) ที่อัตรา 35 บาท/USD กับธนาคาร

  • ณ วันทำสัญญา: นักบัญชียังไม่ต้องบันทึกบัญชี เนื่องจากมูลค่ายุติธรรมของสัญญา Forward ณ วันเริ่มต้นมักจะเป็นศูนย์ แต่ต้องมีการเปิดเผยข้อมูล
  • ณ วันสิ้นงวด (สมมติว่าอัตราแลกเปลี่ยนล่วงหน้าเปลี่ยนเป็น 36 บาท/USD): สัญญา Forward มีมูลค่าเพิ่มขึ้น เพราะบริษัทได้สิทธิซื้อ USD ที่ราคา 35 บาท ในขณะที่ตลาดอยู่ที่ 36 บาท นักบัญชีจะรับรู้กำไรจากตราสารอนุพันธ์นี้ ในขณะเดียวกัน ภาระหนี้ค่าเครื่องจักรในสกุลเงินบาทก็จะเพิ่มขึ้นเช่นกัน การบัญชีป้องกันความเสี่ยงจะช่วยให้ผลกระทบทั้งสองด้านนี้หักล้างกันในงบกำไรขาดทุน
  • ณ วันชำระเงิน: บริษัทใช้สิทธิตามสัญญา Forward ซื้อ 100,000 USD ในอัตรา 35 บาท/USD เพื่อนำไปชำระหนี้ค่าเครื่องจักร ทำให้บริษัทสามารถล็อกต้นทุนของเครื่องจักรเป็นเงินบาทได้สำเร็จ ไม่ว่าอัตราแลกเปลี่ยนจริงในวันนั้นจะเป็นเท่าใดก็ตาม

จะเห็นได้ว่าความเข้าใจในเครื่องมือทางการเงินและมาตรฐานบัญชีที่เกี่ยวข้อง มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการสะท้อนภาพสถานะการเงินของบริษัทอย่างถูกต้อง

4. เตรียมความพร้อมสู่การเป็นนักบัญชีมืออาชีพกับ ม.ศรีปทุม 

การบัญชีสำหรับตราสารอนุพันธ์เป็นเพียงหนึ่งในหัวข้อขั้นสูงที่นักบัญชียุคใหม่ต้องเผชิญ การเลือกสถาบันการศึกษาที่มองเห็นความสำคัญและเตรียมความพร้อมให้นักศึกษาจึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง คณะบัญชี มหาวิทยาลัยศรีปทุม (SPU) เป็นหนึ่งในสถาบันที่ออกแบบหลักสูตรปริญญาตรีบัญชีให้ทันสมัยและตอบโจทย์โลกธุรกิจจริง

ที่ SPU นักศึกษาจะได้เรียนรู้จากคณาจารย์ผู้มีประสบการณ์ตรง พร้อมทั้งฝึกฝนผ่านกรณีศึกษาและ Workshop ที่เข้มข้น เพื่อให้มั่นใจว่าบัณฑิตที่จบไป ไม่ใช่แค่นักบัญชีที่ทำบัญชีเป็น แต่เป็นที่ปรึกษาทางการเงินที่เข้าใจเครื่องมือทางการเงินที่ซับซ้อนและสามารถให้คำแนะนำเชิงกลยุทธ์แก่ธุรกิจได้ สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ หลักสูตรปริญญาตรีบัญชี คณะบัญชี มหาวิทยาลัยศรีปทุม ได้โดยตรง

5. คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

Q1: ทำไมตราสารอนุพันธ์ส่วนใหญ่จึงต้องวัดค่าด้วยมูลค่ายุติธรรม (Fair Value)?

A: เนื่องจากมูลค่าของตราสารอนุพันธ์มีความผันผวนสูงและเปลี่ยนแปลงตามสภาวะตลาดอยู่ตลอดเวลา การวัดค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมจึงสะท้อนมูลค่าทางเศรษฐกิจที่แท้จริงของเครื่องมือเหล่านี้ ณ วันที่รายงานได้ดีที่สุด ซึ่งเป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้งบการเงินในการประเมินความเสี่ยงและสถานะของกิจการครับ

Q2: นักศึกษาปริญญาตรีบัญชีทุกคนจำเป็นต้องเรียนรู้เรื่องตราสารอนุพันธ์หรือไม่?

A: จำเป็นอย่างยิ่งในยุคปัจจุบันครับ แม้ไม่ได้ทำงานในสถาบันการเงินโดยตรง แต่บริษัทข้ามชาติหรือแม้แต่บริษัทขนาดใหญ่ในประเทศหลายแห่งก็มีการใช้ตราสารอนุพันธ์เพื่อบริหารความเสี่ยง การมีความรู้พื้นฐานที่แข็งแกร่งจะทำให้นักบัญชีจบใหม่มีความได้เปรียบและสามารถเติบโตในสายอาชีพได้อย่างรวดเร็ว

Q3: นอกจากความรู้ทางบัญชีแล้ว นักบัญชีที่ต้องดูแลเรื่องนี้ต้องมีทักษะอะไรเพิ่มเติม?

A: นักบัญชีที่ต้องดูแลเรื่องเครื่องมือทางการเงินที่ซับซ้อน ควรมีทักษะด้านการวิเคราะห์ (Analytical Skills) ความเข้าใจในตลาดการเงิน (Financial Market Knowledge) และทักษะการสื่อสาร (Communication Skills) เพื่ออธิบายข้อมูลที่ซับซ้อนให้ฝ่ายบริหารเข้าใจได้ง่าย รวมถึงต้องติดตามมาตรฐานการบัญชีใหม่ๆ อยู่เสมอผ่านแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ เช่น สภาวิชาชีพบัญชี ในพระบรมราชูปถัมภ์

เรียนกับตัวจริง ประสบการณ์จริง
ผ่านการเรียนการสอนที่ผสมผสานทั้งทฤษฎีและปฏิบัติจริง พร้อมเสริมทักษะด้านดิจิทัล
เทคโนโลยี AI และการวิเคราะห์ข้อมูลทางการเงินเพื่อให้บัณฑิตก้าวทันโลกอนาคต ที่ บัญชีศรีปทุม

Most Popular

Categories