มีรายได้อะไรบ้างที่ต้องเสียภาษีและวางแผนใช้สิทธิได้เต็มที่

วัยรุ่นมีรายได้ต้องเสียภาษีไหม? เช็กลิสต์รายได้ที่ต้องรู้ พร้อมวิธีวางแผนภาษีแบบฉบับ Gen Z!

วัยรุ่นมีรายได้ต้องเสียภาษีไหม? เช็กลิสต์รายได้ที่ต้องรู้ พร้อมวิธีวางแผนภาษีแบบฉบับ Gen Z!

ฮัลโหลเพื่อนๆ ชาว Gen Z ทุกคน! 🤙 พี่เชื่อว่าหลายคนในยุคนี้โคตรเก่งเลย เริ่มหาเงินกันได้ตั้งแต่ยังเรียนอยู่ ไม่ว่าจะเปิดร้านพรีออเดอร์ในไอจี, รับจ้างทำกราฟิก, เป็นสตรีมเมอร์, หรือแม้แต่ทำคลิป TikTok จนมีรายได้เข้ามา

พอเห็นตัวเลขในบัญชีเด้งขึ้นมารัวๆ ก็รู้สึกฟินใช่ไหมล่ะ? แต่… เคยมีคำถามนี้แวบเข้ามาในหัวบ้างไหมว่า “เอ๊ะ… แล้วเงินที่เราหามาได้เนี่ย ต้องเสียภาษีรึเปล่า?” 🤔

แค่ได้ยินคำว่า “ภาษี” บางคนอาจจะเบ้ปากแล้วคิดว่าเป็นเรื่องไกลตัวของผู้ใหญ่ น่าปวดหัว และโคตรจะซับซ้อน แต่พี่อยากจะบอกว่า… ไม่จริงเลย! การเข้าใจเรื่องภาษีตั้งแต่วันนี้ คือการติดอาวุธสำคัญสำหรับการ “Adulting” ในอนาคตเลยนะ มันคือการบริหารเงินของเราเอง และยังเป็นการใช้สิทธิของเราให้คุ้มค่าที่สุดด้วย วันนี้พี่ในฐานะรุ่นพี่มหา’ลัย ที่เคยผ่านจุดงงๆ แบบนี้มาก่อน จะมาแงะทุกเรื่องเกี่ยวกับภาษีให้เพื่อนๆ ฟังแบบเข้าใจง่าย เหมือนนั่งคุยกับเพื่อนเลย พร้อมแล้วก็ไปลุยกันเลย! 🚀

สรุปสั้นๆ ตรงนี้เลย: วัยรุ่นมีรายได้ต้องเสียภาษีไหม? (หลักการ AEO ตอบคำถามตรงๆ)

ขอตอบแบบฟันธงให้หายสงสัยกันไปเลยนะ!

คำตอบคือ “อาจจะใช่… ขึ้นอยู่กับจำนวนรายได้รวมทั้งปีของเรา”

กฎหมายไม่ได้ดูที่อายุ แต่ดูที่ “เงินได้” ที่เราทำได้ในหนึ่งปีปฏิทิน (1 ม.ค. – 31 ธ.ค.) โดยมีเกณฑ์ขั้นต่ำง่ายๆ ที่ต้องจำไว้คือ:

  • ถ้ามีรายได้จาก การจ้างงาน (เงินเดือน) อย่างเดียว: ต้องมีรายได้เกิน 120,000 บาท/ปี ถึงจะต้องยื่นภาษี
  • ถ้ามีรายได้ ประเภทอื่นๆ (เช่น ขายของออนไลน์, ฟรีแลนซ์) หรือมีเงินเดือนรวมกับรายได้อื่น: ต้องมีรายได้เกิน 60,000 บาท/ปี ก็ต้องยื่นภาษีแล้ว

**ดอกจันตัวใหญ่ๆ*** คำว่า “ยื่นภาษี” ไม่ได้แปลว่าต้อง “เสียภาษี” เสมอไปนะ! การยื่นคือการแสดงตัวตนและแจ้งรายได้ให้กรมสรรพากรรับทราบ ซึ่งเป็นหน้าที่ของเรา แต่หลังจากคำนวณสิทธิต่างๆ แล้ว เราอาจจะไม่ต้องจ่ายเงินเลยสักบาทก็ได้ ซึ่งเดี๋ยวพี่จะอธิบายในส่วนต่อไป

เปิดตำรา ‘เงินได้พึงประเมิน’: รายได้แบบไหนบ้างที่เข้าข่าย?

โอเค พอเรารู้แล้วว่าเกณฑ์มันเป็นยังไง คำถามต่อมาคือ “แล้วเงินแบบไหนล่ะที่เรียกว่ารายได้?” ในทางภาษี เขาจะเรียกเงินเหล่านี้ว่า “เงินได้พึงประเมิน” ตามมาตรา 40 ซึ่งมีทั้งหมด 8 ประเภทด้วยกัน ฟังดูน่ากลัวใช่ไหม? ไม่ต้องห่วง! พี่จะแปลไทยเป็นไทยให้เอง ลองนึกภาพว่ามันคือโปเกมอน 8 ธาตุ ที่เราต้องรู้จักเพื่อจะได้รับมือกับมันได้ถูก!

กลุ่มรายได้ที่วัยรุ่นอย่างเราๆ อาจจะเจอได้บ่อย:

⭐ ประเภทที่ 1: เงินได้จากการจ้างแรงงาน (มาตรา 40(1))

มันคืออะไร: เงินเดือน, ค่าจ้าง, โบนัส ที่ได้จากการเป็นพนักงานหรือลูกจ้าง
ตัวอย่างง่ายๆ: ทำงานพาร์ทไทม์ที่ร้านกาแฟ, รับจ้างเป็น Admin ดูแลเพจแบบมีสัญญาจ้างรายเดือน

⭐ ประเภทที่ 2: เงินได้จากหน้าที่หรือตำแหน่งงานที่ทำ (มาตรา 40(2))

มันคืออะไร: ค่าจ้างที่ได้จากการทำงานให้ แต่ไม่ได้อยู่ในสถานะลูกจ้างเต็มตัว เป็นงานที่รับเป็นครั้งๆ ไป
ตัวอย่างง่ายๆ: รับงานฟรีแลนซ์ออกแบบโลโก้, เขียนบทความ, แปลเอกสาร, รับจ้างถ่ายรูปรับปริญญา

⭐ ประเภทที่ 8: เงินได้อื่นๆ นอกเหนือจากที่ระบุไว้ (มาตรา 40(8)) – ‼️ ตัวท็อปของชาวเรา!

มันคืออะไร: เป็นประเภทที่ครอบจักรวาลสุดๆ เป็นรายได้จากการทำธุรกิจ, การพาณิชย์, หรืออะไรก็ตามที่ไม่เข้าพวก 1-7
ตัวอย่างง่ายๆ:

  • ขายของออนไลน์ทุกรูปแบบ (พรีออเดอร์, ขายเสื้อผ้า, ทำขนมขาย)
  • รายได้จากการเป็น Youtuber, Influencer, Streamer
  • รายได้จากค่าโฆษณา (Google AdSense)
  • รายได้จากการทำ Affiliate Marketing (แปะลิงก์ขายของแล้วได้ค่าคอมฯ)
  • กำไรจากการเทรดคริปโต (เฉพาะส่วนที่เป็นกำไรนะ)

สำหรับวัยรุ่นส่วนใหญ่ รายได้มักจะตกอยู่ที่ประเภทที่ 2 และ 8 เป็นหลัก ซึ่งสำคัญมากๆ เพราะวิธีคิดค่าใช้จ่ายของรายได้แต่ละประเภทไม่เหมือนกัน!

กลุ่มรายได้อื่นๆ ที่ควรรู้ไว้ประดับสมอง:

  • ประเภทที่ 3: ค่าลิขสิทธิ์ (เช่น แต่งเพลง, เขียนหนังสือ E-book ขาย)
  • ประเภทที่ 4: ดอกเบี้ย, เงินปันผล (จากการลงทุนในหุ้น, กองทุน, หรือฝากเงิน)
  • ประเภทที่ 5: ค่าเช่า (ถ้ามีบ้านหรือคอนโดให้คนอื่นเช่า)
  • ประเภทที่ 6: วิชาชีพอิสระ (เช่น หมอ, ทนาย, วิศวกร – อันนี้ของอนาคตเราๆ)
  • ประเภทที่ 7: การรับเหมาที่ผู้รับเหมาต้องลงทุน (เช่น รับเหมาก่อสร้าง)

ภารกิจพิชิตภาษี: วางแผนใช้ “สิทธิลดหย่อน” ให้เต็ม Max!

มาถึงส่วนที่สนุกและท้าทายที่สุดแล้ว! มันคือการใช้ “สิทธิ” ของเราเพื่อทำให้เงินที่ต้องจ่ายภาษีน้อยลง หรืออาจจะไม่ต้องจ่ายเลย เครื่องมือที่เราจะใช้ก็คือ “ค่าใช้จ่าย” และ “ค่าลดหย่อน” นั่นเอง

ลองนึกภาพตามนะ การคำนวณภาษีมันมีสูตรง่ายๆ แบบนี้:

(รายได้ทั้งปี – ค่าใช้จ่าย) – ค่าลดหย่อน = เงินได้สุทธิ

จากนั้น เราจะเอา “เงินได้สุทธิ” ไปเทียบกับอัตราภาษีแบบขั้นบันได ซึ่งถ้าเงินได้สุทธิของเราอยู่ระหว่าง 0 – 150,000 บาท เราจะได้รับการ “ยกเว้นภาษี” หรือก็คือไม่ต้องจ่ายภาษีนั่นเอง! เป้าหมายของเราคือการทำให้เงินได้สุทธิของเราน้อยที่สุดเท่าที่ทำได้ตามกฎหมาย

Step 1: รู้จัก “ค่าใช้จ่าย” – ประตูบานแรกสู่การประหยัด

ค่าใช้จ่ายคือต้นทุนในการหารายได้ของเรา ซึ่งสรรพากรใจดีให้เราเลือกหักได้ 2 แบบ:

  1. หักตามจริง: ต้องมีหลักฐานค่าใช้จ่ายทุกอย่างเป๊ะๆ (ใบเสร็จ, บิล) เหมาะกับธุรกิจที่มีต้นทุนสูงและเก็บเอกสารเก่ง
  2. หักแบบเหมา: ไม่ต้องใช้เอกสารใดๆ สรรพากรคิดเป็น % ให้เลยตามประเภทรายได้ สะดวกและง่ายมากๆ

สำหรับชาวเราที่ขายของออนไลน์ (ประเภทที่ 8) สามารถหักค่าใช้จ่ายแบบเหมาได้ถึง 60% ของรายได้! ส่วนงานฟรีแลนซ์ (ประเภทที่ 2) จะหักเหมาไม่ได้ ต้องเก็บหลักฐานหักตามจริงเท่านั้น (แต่ถ้าไม่มีจริงๆ ก็จะหักไม่ได้เลย)

Step 2: รู้จัก “ค่าลดหย่อน” – ไอเทมลับเพิ่มพลังประหยัดภาษี

ค่าลดหย่อนคือสิทธิประโยชน์ที่กฎหมายมอบให้เราเพื่อลดภาระภาษี เหมือนเป็นคูปองส่วนลดที่เราต้องไปตามเก็บมาใช้ ไอเทมพื้นฐานที่วัยรุ่นอย่างเราควรรู้จักและใช้ได้ มีดังนี้:

  • ค่าลดหย่อนส่วนตัว 60,000 บาท: แค่เป็นคนไทยมีชีวิตอยู่ก็ได้สิทธินี้ไปเลยทุกคน!
  • ค่าลดหย่อนบิดามารดา คนละ 30,000 บาท: ถ้าคุณพ่อคุณแม่เราอายุ 60 ปีขึ้นไป และมีรายได้ทั้งปีไม่เกิน 30,000 บาท เราสามารถนำท่านมาลดหย่อนได้ (ถ้าเราเป็นลูกคนเดียวที่ใช้สิทธินะ)
  • เบี้ยประกันสุขภาพบิดามารดา: ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 15,000 บาท
  • เบี้ยประกันชีวิต / ประกันสุขภาพของตัวเอง:
    • ประกันชีวิตทั่วไป ลดหย่อนได้สูงสุด 100,000 บาท
    • ประกันสุขภาพ ลดหย่อนได้สูงสุด 25,000 บาท (แต่รวมกับประกันชีวิตแล้วต้องไม่เกิน 100,000 บาท)
  • เงินบริจาค:
    • บริจาคให้สถานศึกษา, สถานพยาบาลรัฐ, กีฬา, สังคม: ลดหย่อนได้ 2 เท่าของที่จ่ายจริง
    • บริจาคให้มูลนิธิและองค์กรการกุศลทั่วไป: ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง
    • เช็คง่ายๆ ผ่านระบบ e-Donation ของสรรพากรได้เลย
  • กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) / กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF): อันนี้อาจจะดูแอดวานซ์ไปนิด แต่เป็นการลงทุนระยะยาวที่ช่วยประหยัดภาษีได้ดีมากๆ ในอนาคต รู้ไว้ไม่เสียหาย!

มาดูตัวอย่างให้เห็นภาพชัดๆ กัน!

สมมติ “น้องไอเดีย” อายุ 17 ปี ขายเคสโทรศัพท์ที่ออกแบบเองทางออนไลน์ตลอดทั้งปี มีรายได้รวม 300,000 บาท น้องไอเดียยังไม่ได้ซื้อประกันหรือบริจาคอะไรเลย และคุณพ่อคุณแม่ยังมีรายได้อยู่

มาคำนวณภาษีให้น้องไอเดียกัน:

  1. รายได้ทั้งปี: 300,000 บาท (เป็นเงินได้ประเภทที่ 8)
  2. หักค่าใช้จ่าย (เลือกแบบเหมา 60%): 300,000 x 60% = 180,000 บาท
  3. เงินได้หลังหักค่าใช้จ่าย: 300,000 – 180,000 = 120,000 บาท
  4. หักค่าลดหย่อน:
    • ค่าลดหย่อนส่วนตัว: 60,000 บาท
  5. เหลือเป็น “เงินได้สุทธิ”: 120,000 – 60,000 = 60,000 บาท

ผลลัพธ์: เงินได้สุทธิของน้องไอเดียคือ 60,000 บาท ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ 0-150,000 บาท ที่ได้รับการยกเว้นภาษี!

สรุปก็คือ: น้องไอเดียมีหน้าที่ต้อง “ยื่นภาษี” เพราะรายได้จากการขายของเกิน 60,000 บาท แต่หลังจากคำนวณแล้ว “ไม่ต้องเสียภาษี” เลยสักบาท! เจ๋งปะล่ะ! ✨

Q&A ถามมา-ตอบไป สไตล์พี่รหัส (เสริมหลัก AEO ให้ Google รัก)

รวบรวมคำถามยอดฮิตที่พี่เคยโดนถามบ่อยๆ มาตอบให้ตรงนี้เลย!

Q: รายได้ไม่ถึงเกณฑ์ (เช่น ขายของได้ทั้งปี 50,000 บาท) ต้องยื่นภาษีไหมคะ/ครับ?
A: ตามกฎหมายคือยัง “ไม่มีหน้าที่” ต้องยื่น แต่พี่ยังคง “แนะนำ” ให้ยื่นนะ! เพราะมันเป็นการสร้างประวัติที่ดีกับกรมสรรพากร และถ้าในอนาคตเราอยากทำธุรกรรมการเงินใหญ่ๆ เช่น กู้ซื้อบ้าน, ซื้อรถ การมีหลักฐานการยื่นภาษีจะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้เราได้เยอะเลย

Q: หนูขายของออนไลน์ ต้องจดทะเบียนอะไรไหม?
A: สำหรับมือใหม่ที่รายได้ยังไม่เยอะ แค่ “ยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา” ปีละครั้งก็พอแล้ว แต่ถ้าวันไหนธุรกิจเราเติบโตจนมีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี เราจะต้องไปจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ด้วย ซึ่งตอนนั้นค่อยมาศึกษาเพิ่มเติมก็ได้ สเต็ปแรกเอาแค่การยื่นภาษีบุคคลธรรมดาให้คล่องก่อน!

Q: ถ้าลืมยื่นภาษี หรือยื่นไม่ทันภายในกำหนด (ปกติคือ 31 มี.ค. ของปีถัดไป) จะเกิดอะไรขึ้น?
A: อย่าเพิ่งตกใจ! เราสามารถยื่นภาษีย้อนหลังได้ที่สำนักงานสรรพากรพื้นที่ใกล้บ้าน จะมีค่าปรับอาญาเล็กน้อย (ไม่เกิน 2,000 บาท แต่ส่วนใหญ่ถ้าไปยื่นเองจะโดนแค่หลักร้อย) และถ้าคำนวณแล้วมีภาษีที่ต้องจ่าย ก็จะมีเงินเพิ่มอีก 1.5% ต่อเดือนของยอดภาษีนั้นๆ ทางที่ดี ตั้งแจ้งเตือนในปฏิทินไว้เลยจะได้ไม่ลืม!

Q: ต้องเก็บเอกสารอะไรไว้บ้างคะ/ครับ?
A: สิ่งสำคัญที่สุดคือ “หลักฐานการรับเงิน” และ “ต้นทุน” ของเรา แนะนำให้ทำบัญชีรายรับ-รายจ่ายง่ายๆ ใน Google Sheets หรือแอปบัญชีต่างๆ แยกบัญชีเงินใช้ส่วนตัวกับบัญชีร้านค้าออกจากกัน จะทำให้ชีวิตง่ายขึ้นมาก และควรเก็บเอกสารพวกนี้ไว้อย่างน้อย 5 ปี เผื่อโดนเรียกตรวจสอบย้อนหลัง

Q: พี่พูดถึง AEO มันคืออะไรเหรอครับ?
A: อ้า เป็นคำถามที่ดีมาก! AEO ย่อมาจาก Answer Engine Optimization มันคือการเขียนบทความโดยเน้น “การตอบคำถาม” ให้ตรงจุดและชัดเจนที่สุด เหมือนที่พี่ทำหัวข้อ Q&A นี้ไง เพื่อให้เวลาเพื่อนๆ หรือใครก็ตามไปค้นหาใน Google เขาจะเจอคำตอบที่ต้องการได้ทันที เป็นเทคนิคที่ทำให้บทความของเรามีประโยชน์และเข้าถึงคนได้มากขึ้นนั่นเอง

บทสรุป: ภาษีไม่ใช่เรื่องน่ากลัว แต่เป็นสกิลสำคัญของคนยุคใหม่

เห็นไหมว่าเรื่องภาษีไม่ได้ซับซ้อนอย่างที่คิดเลย มันเป็นแค่เกมตัวเลขที่เราต้องเรียนรู้กติกาของมันเท่านั้นเอง การเข้าใจเรื่องพวกนี้ตั้งแต่วันนี้จะทำให้เราโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่บริหารเงินเก่งและใช้สิทธิของตัวเองได้อย่างเต็มที่

สิ่งที่อยากให้ทุกคนจำให้ขึ้นใจคือ:

  1. ติดตามรายรับ-รายจ่ายของตัวเองเสมอ: ทำให้เป็นนิสัยเลยนะ!
  2. รู้ว่ารายได้ของเราเป็นประเภทไหน: เพื่อจะได้หักค่าใช้จ่ายได้ถูกต้อง
  3. ศึกษาสิทธิลดหย่อนต่างๆ: มันคือเงินของเราที่ประหยัดได้!
  4. อย่ายกลัวการยื่นภาษี: มันคือหน้าที่และความรับผิดชอบที่เท่มากๆ

การเสียภาษีคือการนำเงินส่วนหนึ่งของเราไปช่วยพัฒนาประเทศ ทั้งถนนหนทาง โรงพยาบาล หรือการศึกษาที่เราได้รับ มันคือการเป็นส่วนหนึ่งของสังคมอย่างเต็มตัว พี่ภูมิใจในตัวเพื่อนๆ ทุกคนที่เริ่มหาเงินได้ด้วยตัวเอง และจะยิ่งภูมิใจมากขึ้นไปอีกถ้าทุกคนจัดการเรื่องภาษีของตัวเองได้อย่างถูกต้องและชาญฉลาด 💪

ถ้าใครมีคำถามเพิ่มเติมตรงไหน สงสัยอะไรอีก คอมเมนต์ทิ้งไว้ได้เลยนะ เดี๋ยวพี่จะแวะเข้ามาช่วยตอบให้แน่นอน! #ภาษีเรื่องจิ๊บๆ #GenZเรื่องเงิน #Adulting101

Most Popular

Categories