ข้อควรระวัง! กับดักภาษีที่คนทำธุรกิจออนไลน์ต้องรู้

ข้อควรระวัง! กับดักภาษีที่คนทำธุรกิจออนไลน์ต้องรู้ (ฉบับวัยรุ่น Gen Z)

ฮัลโหลเพื่อนๆ ชาว Gen Z ที่เป็นเจ้าของธุรกิจทุกคน! ไม่ว่าจะขายเสื้อผ้าใน IG, พรีออเดอร์ของจากเกาหลี, ขายสกินแคร์ใน TikTok หรือเป็นสตรีมเมอร์ตัวตึงก็ตาม… ยุคนี้การหาเงินออนไลน์มันง่ายกว่าปอกกล้วยใช่มั้ยล่ะ? ยอดเข้าบัญชีรัวๆ เห็นตัวเลขแล้วมันชื่นใจ แต่… เคยช็อตฟีลตอนได้ยินคำว่า “ภาษี” กันบ้างป่าว?

เอาจริงดิ? แค่ขายของเล็กๆ น้อยๆ ต้องเสียภาษีด้วยเหรอ? เราในฐานะเพื่อนรุ่นเดียวกันที่ก็เคยคิดแบบนี้มาก่อน เลยไปทำการบ้านมาหนักมาก! วันนี้จะมาแชร์แบบเพื่อนเล่าให้เพื่อนฟัง”กับดักภาษี” ที่คนทำธุรกิจออนไลน์แบบเราๆ ต้องเจอมันมีอะไรบ้าง เตรียมตัวยังไงไม่ให้โดนสรรพากรเรียกย้อนหลังจนจุก! มาเลเวลอัพสกิลการเป็นเจ้าของธุรกิจไปอีกขั้นกันเถอะ!

ทำไมเราต้องแคร์เรื่องภาษี? มันใช่เรื่องของเด็กรึเปล่า?

เข้าใจเลยว่าหลายคนอาจจะคิดว่า “เรายังเรียนอยู่เลย”, “รายได้ก็ไม่ได้เยอะอะไรขนาดนั้น” หรือ “รัฐบาลจะมาสนใจเราเหรอ?” คำตอบคือ… ใช่! เขาสนใจเรามาก! และนี่คือเหตุผลสำคัญ:

  • กฎหมาย e-Payment มันโหดนะ: นี่คือตัวเปลี่ยนเกมเลย! กฎหมายนี้บังคับให้ธนาคารต้องส่งข้อมูลบัญชีของเราให้กรมสรรพากรโดยอัตโนมัติ ถ้าเข้าเงื่อนไขข้อใดข้อหนึ่ง:
    • เงื่อนไขที่ 1: มีการรับโอนเงินเข้าบัญชี 3,000 ครั้งต่อปี (ไม่สนยอดเงิน)
    • เงื่อนไขที่ 2: มีการรับโอนเงินเข้าบัญชี 400 ครั้งต่อปี และมียอดรวม 2,000,000 บาทขึ้นไป

    เห็นมั้ย? แค่ขายของราคาหลักร้อย แต่มีคนโอนเข้ามาบ่อยๆ ก็แตะ 3,000 ครั้งได้ไม่ยากเลยนะ! นี่คือเหตุผลที่เราจะทำตัวเป็นนินจาซ่อนรายได้ไม่ได้อีกต่อไป

  • อายุไม่เกี่ยว รายได้สิเกี่ยว: กฎหมายภาษีไม่ได้ดูที่อายุ แต่ดูที่ “เงินได้” หรือ “รายได้” ของเรา ถ้ามีรายได้ถึงเกณฑ์ที่กำหนด (สำหรับคนโสดคือเกิน 60,000 บาทต่อปี) ก็มีหน้าที่ต้อง “ยื่น” แบบแสดงรายการภาษีแล้ว ส่วนจะต้อง “จ่าย” หรือไม่นั่นอีกเรื่องนึง
  • มันคือหน้าที่และความเท่: การจ่ายภาษีคือการที่เราได้เป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาประเทศนะเพื่อนๆ ไม่ว่าจะถนน, โรงพยาบาล, โรงเรียน ทุกอย่างมาจากภาษีของเรานี่แหละ การเป็นเจ้าของธุรกิจที่รับผิดชอบต่อสังคมมันโคตรเท่เลยนะ!

จำไว้เลย: การยื่นภาษี ไม่ได้แปลว่าต้องเสียภาษีเสมอไป! แต่การไม่ยื่นทั้งๆ ที่รายได้ถึงเกรณฑ์… อันนี้เรื่องใหญ่แน่นอน!

เปิดวาร์ป 5 กับดักภาษีที่ร้านค้าออนไลน์ต้องระวัง!

เอาล่ะ เข้าเรื่องสำคัญกันดีกว่า เราสรุป “กับดัก” ที่พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์มือใหม่มักจะพลาดตกลงไปบ่อยที่สุดมาให้ 5 ข้อ พร้อมวิธีเอาตัวรอด!

กับดักที่ 1: ไม่เคยเก็บหลักฐานอะไรเลย!  (The “YOLO” Trap)

อาการ: รับเงินโอนมาก็ใช้ไปเลย ไม่เคยจด ไม่เคยทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย บิลค่าของ สลิปค่าส่งของ… หายไปกับสายลม แชทที่คุยกับลูกค้าก็ปล่อยให้หายไปตามกาลเวลา

ทำไมถึงเป็นกับดัก?: เวลาที่ต้องยื่นภาษี เราจะต้องแจกแจงว่ามี “รายได้” เท่าไหร่ และมี “ค่าใช้จ่าย” เท่าไหร่เพื่อนำมาหักลบกัน แต่ถ้าเราไม่มีหลักฐานอะไรเลย กรมสรรพากรอาจจะประเมินจากยอดโอนเข้ารัวๆ ของเรา แล้วถือเป็นรายได้ทั้งหมด! ทีนี้ล่ะ งานเข้าแน่ๆ เพราะเราจะพิสูจน์ต้นทุนไม่ได้เลย

ทางรอด:

  • จดทุกอย่าง: สร้างไฟล์ Google Sheets หรือใช้แอปทำบัญชีง่ายๆ บันทึกทุกยอดที่เข้ามา (รายรับ) และทุกยอดที่จ่ายออกไป (รายจ่าย) เช่น ค่าสินค้า, ค่าแพ็คของ, ค่าขนส่ง, ค่าโฆษณา
  • เก็บทุกสลิป: ถ่ายรูปสลิป, ใบเสร็จ, อินวอยซ์ต่างๆ เก็บไว้ในโฟลเดอร์บน Google Drive หรือในคอมพิวเตอร์ แยกเป็นหมวดหมู่ตามเดือน จะได้หาง่ายๆ
  • แยกบัญชี: เปิดบัญชีธนาคารสำหรับธุรกิจโดยเฉพาะ! อย่าใช้ปนกับบัญชีส่วนตัวเด็ดขาด มันจะทำให้ชีวิตง่ายขึ้น 300% เวลาทำบัญชี

กับดักที่ 2: คิดว่า “กำไร” คือ “รายได้” (The Profit vs. Revenue Trap)

อาการ: ขายเสื้อได้ 500 บาท ต้นทุน 300 บาท เราเลยคิดว่ารายได้ของเราคือ “กำไร” 200 บาท แล้วจดไว้แค่นั้น

ทำไมถึงเป็นกับดัก?: นี่คือจุดที่คนพลาดเยอะที่สุด! ในทางภาษี คำว่า “เงินได้พึงประเมิน” หมายถึง เงินทั้งหมดที่ได้รับมาก่อนหักค่าใช้จ่าย ดังนั้น จากตัวอย่างข้างบน รายได้ของเราคือ 500 บาทเต็มๆ ไม่ใช่ 200! ที่สำคัญคือ สรรพากรเห็นยอดโอนในบัญชีเราเป็นเลข 500 นะครับเพื่อนๆ ถ้าเราแจ้งแค่ 200 เขาจะมองว่าเราแจ้งรายได้ไม่ครบถ้วน

ทางรอด:

  • เข้าใจศัพท์ให้ถูก: รายได้ = ยอดขายทั้งหมด / กำไร = รายได้ – ค่าใช้จ่าย
  • บันทึกให้ครบ: ตอนทำบัญชี ให้มีช่อง “รายรับ” (ยอดเต็ม) และ “รายจ่าย” (ต้นทุน) แยกกันชัดเจน

กับดักที่ 3: “รายได้น้อย ไม่ยื่นก็ได้มั้ง?” (The “Ignorance is Bliss” Trap)

อาการ: รู้แหละว่ามีรายได้ แต่คิดว่ามันน้อยนิด คงไม่มีใครมาสนใจ เลยเลือกที่จะเพิกเฉย ไม่ยื่นภาษีใดๆ ทั้งสิ้น

ทำไมถึงเป็นกับดัก?: อย่างที่บอกไปเรื่องกฎหมาย e-Payment ข้อมูลของเราถูกส่งไปรอที่กรมสรรพากรแล้ว! การไม่ยื่นภาษีเมื่อรายได้ถึงเกณฑ์ มีโทษทั้งทางแพ่งและอาญานะ! อาจจะโดนค่าปรับ, เงินเพิ่ม (ดอกเบี้ย) และที่น่ากลัวที่สุดคือ “การถูกตรวจสอบภาษีย้อนหลัง” ซึ่งอาจโดนย้อนไปได้หลายปี คิดดูสิว่าดอกเบี้ยจะบานปลายขนาดไหน

ทางรอด:

  • รู้เกณฑ์ของตัวเอง: ถ้าเป็นคนโสด มีรายได้จากการขายของออนไลน์ (เรียกว่าเงินได้ประเภท 40(8)) เกิน 60,000 บาทต่อปี = มีหน้าที่ต้อง “ยื่น” ภาษี
  • รู้เดดไลน์: การยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด.90/91) จะมีเดดไลน์ประมาณ 31 มีนาคมของทุกปี (สำหรับการยื่นแบบกระดาษ) และขยายเวลาให้ถ้ายื่นออนไลน์ (เช็คเดดไลน์ที่แน่นอนจากเว็บกรมสรรพากรทุกปี)
  • ยื่นภาษีกลางปี (ภ.ง.ด.94): สำหรับคนขายของออนไลน์ที่มีรายได้ตั้งแต่เดือน ม.ค. – มิ.ย. เกิน 60,000 บาท จะต้องยื่นภาษีกลางปีด้วยนะ เดดไลน์ประมาณเดือนกันยายน

กับดักที่ 4: ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นเงินได้ประเภทไหน❓(The Wrong Category Trap)

อาการ: ตอนกรอกแบบยื่นภาษี ก็จิ้มๆ ไปมั่วๆ ไม่รู้ว่าการขายของออนไลน์ของเราจัดอยู่ในประเภทไหน ทำให้เลือกวิธีหักค่าใช้จ่ายผิด

ทำไมถึงเป็นกับดัก?: การระบุประเภทเงินได้ผิด อาจทำให้เราเสียสิทธิ์ในการหักค่าใช้จ่ายที่เหมาะสม และอาจนำไปสู่การเสียภาษีเยอะเกินความจำเป็น หรือน้อยเกินไปจนโดนตรวจสอบได้ สำหรับการขายของออนไลน์ จะจัดอยู่ในกลุ่ม “เงินได้พึงประเมินมาตรา 40(8)” ซึ่งเป็นเงินได้จากการทำธุรกิจ การพาณิชย์ต่างๆ

ทางรอด:

  • จำไว้ให้แม่น: ขายของออนไลน์ = เงินได้ประเภท 40(8)
  • เลือกวิธีหักค่าใช้จ่ายให้เป็น: เงินได้ประเภท 40(8) สามารถเลือกหักค่าใช้จ่ายได้ 2 แบบ
    1. หักตามจริง: ต้องมีหลักฐานค่าใช้จ่ายทุกอย่างครบถ้วน (บิล, ใบเสร็จ) เหมาะกับธุรกิจที่มีต้นทุนสูงและเก็บเอกสารเก่ง
    2. หักแบบเหมา 60%: ไม่ต้องใช้เอกสารอะไรเลย สรรพากรให้หักต้นทุนไปเลย 60% ของรายได้ เหมาะกับคนที่ไม่ค่อยมีบิล หรือต้นทุนจริงๆ น้อยกว่า 60% (เช่น ขายสินค้าดิจิทัล, งานบริการ) นี่เป็นวิธีที่ง่ายและนิยมมากสำหรับมือใหม่

กับดักที่ 5: ลืมเรื่อง “ค่าลดหย่อน” (The “Leaving Money on the Table” Trap)

อาการ: ยื่นภาษีแค่ รายได้ – ค่าใช้จ่าย = เงินได้สุทธิ แล้วเอาไปคำนวณภาษีเลย

ทำไมถึงเป็นกับดัก?: เรากำลังเสียสิทธิ์ที่จะประหยัดภาษีไปฟรีๆ! รัฐบาลมี “ตัวช่วย” ที่เรียกว่า ค่าลดหย่อน เพื่อช่วยลดภาระภาษีของเราลงไปอีก ซึ่งมีหลายรายการมาก

ทางรอด:

  • ศึกษาเรื่องค่าลดหย่อน: มันคือ Power-ups ของเรา! ตัวอย่างค่าลดหย่อนพื้นฐานที่ทุกคนต้องรู้:
    • ค่าลดหย่อนส่วนตัว: 60,000 บาท (ทุกคนได้สิทธิ์นี้)
    • ค่าลดหย่อนบิดามารดา: คนละ 30,000 บาท (ถ้าท่านอายุเกิน 60 และรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทต่อปี)
    • เบี้ยประกันชีวิต / ประกันสุขภาพ
    • เงินบริจาค
    • กองทุน SSF, RMF (อันนี้อาจจะแอดวานซ์ไปหน่อยสำหรับวัยเรา แต่รู้ไว้ก็ดี)
  • สูตรคำนวณภาษีที่ถูกต้องคือ: (รายได้ – ค่าใช้จ่าย – ค่าลดหย่อน) = เงินได้สุทธิ แล้วค่อยนำเงินได้สุทธินี้ไปคำนวณภาษีตามขั้นบันได

Q&A ถามมา-ตอบไป สไตล์เด็กหอ (เคลียร์ทุกข้อสงสัยเรื่องภาษี)

รวบรวมคำถามยอดฮิตที่ชาวเราสงสัยกันบ่อยๆ มาให้แล้ว!

Q: อายุไม่ถึง 18 ปีบริบูรณ์ ต้องยื่นภาษีจริงเหรอ?

A: จริง! อย่างที่บอกไปว่ากฎหมายดูที่รายได้ ไม่ใช่อายุ ถ้ามีเงินได้ถึงเกณฑ์ที่กำหนด (60,000 บาท/ปี สำหรับการขายของออนไลน์) ก็ต้องยื่นครับ โดยให้ผู้ปกครองเป็นผู้ยื่นแทนในนามของเราได้

Q: ถ้าปีนั้นขายของแล้วขาดทุน ต้องยื่นภาษีมั้ย?

A: ควรยื่นอย่างยิ่ง! การยื่นแบบแสดงรายการแม้จะไม่มีภาษีต้องชำระ (หรือขาดทุน) เป็นการแสดงความโปร่งใสให้กรมสรรพากรเห็นว่าเรามีตัวตน มีการทำธุรกิจจริง และไม่ได้หลบเลี่ยง เป็นการสร้างโปรไฟล์ที่ดีให้ตัวเองในระยะยาว

Q: รับเงินสด หรือโอนผ่าน TrueMoney Wallet สรรพากรจะรู้ได้ไง?

A: ในทางเทคนิค การรับเงินสดอาจจะตรวจสอบได้ยากกว่า แต่ในทางกฎหมาย เรามีหน้าที่ต้องนำรายได้ทั้งหมดมารวมคำนวณ ไม่ว่าจะมาจากช่องทางไหนก็ตาม ส่วน Wallet ต่างๆ ปัจจุบันก็ผูกกับบัญชีธนาคารและบัตรประชาชน ข้อมูลสามารถเชื่อมถึงกันได้หมด ทางที่ดีที่สุดคือซื่อสัตย์และรายงานตามจริงครับ ปลอดภัยกว่าเยอะ

Q: ฟังดูยุ่งยากไปหมดเลย… จะเริ่มต้นยังไงดีแบบ Step-by-Step?

A: ไม่ยากอย่างที่คิด! ทำตามนี้เลย:

  1. แยกบัญชี: ไปเปิดบัญชีธนาคารใหม่สำหรับร้านค้า เดี๋ยวนี้เลย!
  2. เริ่มจด: สร้างไฟล์ Excel หรือ Google Sheets ง่ายๆ ตีตาราง วันที่, รายการ, รายรับ, รายจ่าย, กำไร
  3. เก็บหลักฐาน: สร้างโฟลเดอร์ในคอมหรือคลาวด์ชื่อ “เอกสารภาษีปี XXXX” แล้วโยนรูปสลิปทุกอย่างเข้าไป
  4. เช็คยอดตัวเอง: ทุกสิ้นเดือน ลองบวกลบคูณหารดูว่าตอนนี้รายได้เราเท่าไหร่แล้ว จะได้ประเมินสถานการณ์ถูก
  5. ถึงเวลายื่น: เข้าเว็บไซต์ของกรมสรรพากร rd.go.th การยื่นออนไลน์สมัยนี้ง่ายมาก มีขั้นตอนบอกชัดเจน แค่เตรียมข้อมูลตัวเลขของเราให้พร้อมก็พอ

บทสรุป: เปลี่ยนเรื่องน่ากลัวให้เป็นเรื่องสุดคูล

ภาษีอาจจะฟังดูเหมือนเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ที่น่าปวดหัว แต่สำหรับคนทำธุรกิจอย่างเรา มันคืออีกหนึ่งสกิลสำคัญที่ต้องเรียนรู้ การเข้าใจและจัดการภาษีได้ตั้งแต่เนิ่นๆ ไม่ใช่แค่ช่วยให้เราไม่โดนปรับย้อนหลังจนหมดตัว แต่มันยังเป็นเครื่องหมายว่าธุรกิจของเรากำลังเติบโตอย่างมืออาชีพและยั่งยืน

อย่ามองว่ามันเป็นภาระ แต่ให้มองว่ามันคือการ “เลเวลอัพ” จากพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ธรรมดา กลายเป็น “นักธุรกิจรุ่นใหม่” ที่มีความรับผิดชอบและพร้อมจะเติบโตไปอีกขั้น! ถ้าเราเตรียมตัวดีตั้งแต่ตอนนี้ อนาคตไม่ว่าจะทำธุรกิจใหญ่แค่ไหน ก็ไม่มีอะไรต้องกลัวแล้วล่ะเพื่อน!


Disclaimer: บทความนี้จัดทำขึ้นเพื่อให้ความรู้เบื้องต้นในสไตล์ที่เป็นกันเองเท่านั้นนะ! ข้อมูลตัวเลขและกฎเกณฑ์ต่างๆ อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ สำหรับกรณีที่ซับซ้อนหรือต้องการคำปรึกษาที่แม่นยำจริงๆ แนะนำให้ปรึกษานักบัญชีหรือเจ้าหน้าที่กรมสรรพากรโดยตรงจะดีที่สุด!

Most Popular

Categories