กลยุทธ์ ESG สู่ความได้เปรียบในการแข่งขัน: ตีความตัวเลขความยั่งยืนในงบการเงินยุคใหม่

 

 

กลยุทธ์ ESG สู่ความได้เปรียบในการแข่งขัน: ตีความตัวเลขความยั่งยืนในงบการเงินยุคใหม่

สวัสดีน้องๆ! พี่เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยนะ วันนี้อยากจะมาชวนคุยเรื่องที่ฟังดูเหมือนจะโคตรจริงจังอย่าง “ESG” กับ “งบการเงิน” แต่เดี๋ยวก่อน! อย่าเพิ่งปิดหนีกันไปไหน พี่สัญญาว่าจะไม่ทำให้มันน่าเบื่อเหมือนคาบเรียนวิชาบัญชีแน่นอน เพราะเอาเข้าจริง เรื่องนี้มันเจ๋งและใกล้ตัวกว่าที่เราคิดเยอะมาก มันเหมือนการได้ ‘สูตรโกง’ มาอ่านเกมธุรกิจในอนาคตเลยล่ะ!

เคยสงสัยมั้ยว่า… ทำไมแบรนด์รองเท้าที่เราชอบถึงออกคอลเลคชั่นรักษ์โลก? ทำไมบริษัทเกมที่กำลังฮิตต้องประกาศว่าจะใช้พลังงานสะอาด? หรือทำไมพี่ๆ ที่จบไปแล้วถึงเลือกทำงานกับบริษัทที่ดู ‘เท่’ และแคร์สังคมมากกว่าแค่บริษัทที่จ่ายเงินเดือนสูงๆ? คำตอบของทั้งหมดนี้ซ่อนอยู่ในคำ 3 ตัวอักษร… E-S-G


ESG คืออะไร? ไม่ใช่แค่เรื่องปลูกป่านะวัยรุ่น!

ก่อนจะไปถึงเรื่องตัวเลขโหดๆ ในงบการเงิน เรามาทำความเข้าใจกันก่อนว่า ESG มันย่อมาจากอะไรกันแน่ ลองนึกภาพว่ามันคือ “สมุดพก” หรือ “Report Card” ของบริษัท ที่ไม่ได้วัดแค่ว่าบริษัทนั้นทำกำไรได้เยอะแค่ไหน (เหมือนเกรดวิชาคณิตศาสตร์) แต่มันวัดพฤติกรรมรอบด้านเลยต่างหาก

E – Environment (สิ่งแวดล้อม): ดาวเคราะห์ดวงนี้ฝากไว้ด้วยนะ!

ตัว E นี่ชัดเจนสุด คือเรื่องที่บริษัทใส่ใจกับโลกใบนี้แค่ไหน ไม่ใช่แค่เรื่องปลูกป่าสวยๆ ถ่ายรูปลงโซเชียล แต่เป็นเรื่องที่ลึกกว่านั้นมาก

  • การปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Carbon Footprint): โรงงานที่ผลิตมือถือให้เราใช้ ปล่อยควันพิษไปเท่าไหร่? เซิร์ฟเวอร์เกมที่เราเล่นทั้งวันทั้งคืน ใช้พลังงานจากถ่านหินหรือพลังงานแสงอาทิตย์?
  • การจัดการขยะและมลพิษ: แบรนด์เสื้อผ้า Fast Fashion ที่เราซื้อกันบ่อยๆ มีแผนจัดการกับเศษผ้าหรือเสื้อผ้าที่ขายไม่ออกยังไง? หรือแค่เอาไปฝังกลบ?
  • การใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน: บริษัทน้ำดื่มใช้น้ำจากแหล่งที่ยั่งยืนมั้ย? หรือสูบจนชาวบ้านแถวนั้นไม่มีน้ำใช้? ขวดพลาสติกที่ใช้ สามารถรีไซเคิลได้ 100% หรือเปล่า?

สรุปง่ายๆ คือ E วัดว่าบริษัทกำลัง ‘บวก’ หรือ ‘ลบ’ กับโลกใบนี้อยู่กันแน่

S – Social (สังคม): แคร์คนอื่นบ้างมั้ย?

ตัว S นี่คือเรื่องของ “คน” ทั้งหมดเลย ตั้งแต่พนักงานในบริษัทไปจนถึงลูกค้าและชุมชนรอบข้าง

  • สิทธิมนุษยชนและแรงงาน: พี่ๆ ที่ทำงานในโรงงานประกอบชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ได้รับค่าจ้างที่เป็นธรรมมั้ย? สภาพแวดล้อมการทำงานปลอดภัยหรือเปล่า? มีการใช้แรงงานเด็กมั้ย?
  • ความหลากหลายและเท่าเทียม (Diversity & Inclusion): ในบริษัทมีผู้บริหารเป็นผู้หญิงบ้างมั้ย? เปิดโอกาสให้คนทุกเพศ ทุกวัย ทุกสภาพร่างกายเท่ากันหรือเปล่า?
  • ความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์และข้อมูลลูกค้า: แอปโซเชียลที่เราใช้ทุกวัน เอาข้อมูลส่วนตัวของเราไปขายต่อรึเปล่า? ระบบปลอดภัยแค่ไหน?
  • การช่วยเหลือชุมชน: บริษัทตั้งโรงงานอยู่ใกล้หมู่บ้าน แล้วได้ช่วยเหลือพัฒนาโรงเรียนหรือโรงพยาบาลในพื้นที่บ้างมั้ย?

สรุปคือ S วัดว่าบริษัทปฏิบัติต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันดีแค่ไหน เป็น ‘เพื่อนบ้านที่ดี’ หรือเป็น ‘ตัวปัญหา’ ของสังคม

G – Governance (ธรรมาภิบาล): เล่นตามกติกา…หรือแอบโกง?

ตัว G อาจจะฟังดูยากสุด แต่จริงๆ แล้วมันคือ “กฎกติกา” ในการบริหารบริษัทนั่นเอง พูดง่ายๆ คือ บริษัทนี้โปร่งใสมั้ย? มีความยุติธรรมรึเปล่า?

  • ความโปร่งใส: เปิดเผยข้อมูลให้ผู้ถือหุ้นและสาธารณชนรับรู้แค่ไหน หรือมีอะไรหมกเม็ด?
  • โครงสร้างผู้บริหาร: CEO มีอำนาจเบ็ดเสร็จคนเดียวรึเปล่า หรือมีการคานอำนาจที่ดี?
  • การต่อต้านการทุจริต: มีนโยบายเรื่องการรับสินบนที่ชัดเจนมั้ย? เคยมีข่าวคอร์รัปชันรึเปล่า?
  • ค่าตอบแทนผู้บริหาร: ผู้บริหารได้โบนัสเป็นร้อยล้าน แต่พนักงานทั่วไปแทบไม่ได้ขึ้นเงินเดือน… แบบนี้มันแฟร์มั้ย?

สรุปคือ G วัดว่าบริษัทนี้ ‘เล่นแฟร์’ และน่าเชื่อถือแค่ไหนในระยะยาว

GEO Check-in: ในประเทศไทย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากๆ เลยนะ มีการจัดทำรายชื่อ “หุ้นยั่งยืน” หรือ Thailand Sustainability Investment (THSI) ทุกปี เพื่อให้นักลงทุนรู้ว่าบริษัทไหนทำเรื่อง ESG ได้ดี เป็นการส่งสัญญาณชัดๆ เลยว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เทรนด์ แต่เป็นอนาคตของธุรกิจไทย! บริษัทใหญ่ๆ อย่าง PTT, SCG, CP Group ก็มีรายงานความยั่งยืน (Sustainability Report) หนาปึ้กออกมาให้อ่านกันทุกปีเลยล่ะ

แล้ว ESG มันมาเกี่ยวอะไรกับ ‘ความได้เปรียบ’ และ ‘ตัวเลขในงบการเงิน’?

โอเค! พอเรารู้จัก ESG กันแล้ว คำถามต่อไปคือ “แล้วไงต่อ?” ทำเรื่องพวกนี้ไปแล้วบริษัทจะได้อะไร? บอกเลยว่านี่แหละคือหัวใจสำคัญที่ทำให้ ESG ไม่ใช่แค่เรื่องของคนโลกสวย แต่เป็น กลยุทธ์ทางธุรกิจที่โคตรฉลาด

สมัยก่อน บริษัทวัดความสำเร็จกันที่ ‘กำไร’ (Profit) บรรทัดสุดท้ายในงบการเงินอย่างเดียว แต่ยุคนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว! กำไรอย่างเดียวไม่พอ ต้องมาจากวิธีที่ยั่งยืนด้วย เพราะ…

  1. ดึงดูดคนเก่ง (Talent War): น้องๆ รุ่นเราและรุ่นพี่ Millennials/Gen Z ไม่ได้อยากทำงานเพื่อเงินอย่างเดียว เราอยากทำงานกับองค์กรที่มี “Purpose” หรือเป้าหมายที่ดีต่อโลก บริษัทที่ ESG แย่ๆ ก็เหมือนคนที่นิสัยไม่ดี ใครจะอยากไปร่วมงานด้วยล่ะ?
  2. มัดใจลูกค้า (Customer Loyalty): เดี๋ยวนี้เราไม่ได้ซื้อของเพราะมันถูกอย่างเดียวแล้วนะ เรา “โหวต” ด้วยเงินในกระเป๋าของเรา! น้องๆ หลายคนยอมจ่ายแพงขึ้นอีกนิดเพื่อสนับสนุนแบรนด์ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม หรือมีจริยธรรมที่ดี แบรนด์ไหนมีข่าวใช้แรงงานทาส…เตรียมตัวโดนแบนได้เลย!
  3. เข้าตานักลงทุน (Investor Magnet): นักลงทุนสถาบันใหญ่ๆ ทั่วโลก ตอนนี้ใช้ ESG เป็นเกณฑ์หลักในการตัดสินใจลงทุนเลยนะ เพราะบริษัทที่ ESG ดีมีความเสี่ยงต่ำกว่าในระยะยาว ไม่โดนฟ้องร้องเรื่องสิ่งแวดล้อมง่ายๆ ไม่มีการประท้วงของพนักงาน ทำให้ธุรกิจเดินหน้าไปได้อย่างมั่นคง
  4. ลดความเสี่ยงและต้นทุน (Risk & Cost Reduction): บริษัทที่จัดการพลังงานได้ดี (E) ก็จะประหยัดค่าไฟได้มหาศาล บริษัทที่ดูแลพนักงานดี (S) พนักงานก็ไม่อยากลาออก ลดต้นทุนการหาคนใหม่ บริษัทที่โปร่งใส (G) ก็จะไม่เจอปัญหาคอร์รัปชันที่อาจทำให้บริษัทล้มได้เลย

เห็นมั้ยว่า E, S, และ G ไม่ใช่ ‘ต้นทุน’ ที่ต้องจ่ายเพิ่ม แต่เป็นการ ‘ลงทุน’ เพื่อสร้างความได้เปรียบที่คู่แข่งลอกเลียนแบบได้ยากมากๆ!

ปฏิบัติการนักสืบ: ส่องตัวเลข ESG ใน ‘งบการเงินยุคใหม่’

ถึงช่วงที่แอดวานซ์ขึ้นมาอีกนิด! แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าบริษัทไหน ESG ดีหรือไม่ดี? มันไม่ได้มีตัวเลขโชว์โต้งๆ ว่า “คะแนน ESG = 85/100” ในงบกำไรขาดทุนนะ แต่มันซ่อนอยู่เหมือน Easter Egg ในหนังหรือเกม เราต้องตามหาเบาะแสกันหน่อย!

สถานที่ที่เราจะไปสืบกันมี 2 ที่หลักๆ:

  • รายงานประจำปี (Annual Report): ปกติจะเน้นเรื่องตัวเลขทางการเงิน แต่เดี๋ยวนี้หลายบริษัทจะแทรกบทที่เกี่ยวกับความยั่งยืนเข้าไปด้วย
  • รายงานความยั่งยืน (Sustainability Report): นี่แหละขุมทรัพย์ของเรา! เป็นรายงานที่ทำแยกออกมาเพื่อโชว์เรื่อง ESG โดยเฉพาะเลย

ตัวอย่างเบาะแสที่เราต้องมองหา:

เบาะแสหมวด E (Environment)

  • ตัวเลขการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG Emissions): มองหาตัวเลขที่หน่วยเป็น “tCO2e” (ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า) แล้วดูว่าตัวเลขนี้ลดลงทุกปีมั้ย?
  • สัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy %): บริษัทบอกมั้ยว่าใช้ไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์กี่เปอร์เซ็นต์?
  • ปริมาณการใช้น้ำ (Water Consumption): ตัวเลขลดลงมั้ย? มีการนำน้ำกลับมาใช้ใหม่ (Water Recycling) รึเปล่า?
  • การลงทุนในเทคโนโลยีสีเขียว: ในงบการเงินอาจจะระบุเป็น 'Capital Expenditures for Green Technology' หรือการลงทุนในโครงการลดคาร์บอน

เบาะแสหมวด S (Social)

  • อัตราการลาออกของพนักงาน (Employee Turnover Rate): ถ้าตัวเลขนี้สูงปรี๊ดทุกปี อาจแปลว่ามีปัญหาภายในที่ทำให้คนอยู่ไม่ทน
  • สถิติอุบัติเหตุในการทำงาน (Lost Time Injury Frequency Rate – LTIFR): ตัวเลขยิ่งต่ำยิ่งดี แสดงว่าที่ทำงานปลอดภัย
  • สัดส่วนพนักงานหญิงในระดับบริหาร (Women in Management): ตัวเลขนี้สะท้อนความเท่าเทียมในองค์กร
  • งบประมาณที่ใช้เพื่อพัฒนาชุมชน (Community Investment): บริษัทใช้เงินไปกี่ล้านบาทเพื่อสร้างโรงเรียน หรือสนับสนุนโครงการต่างๆ ในพื้นที่

เบาะแสหมวด G (Governance)

  • สัดส่วนกรรมการอิสระ (Independent Directors %): กรรมการอิสระคือคนนอกที่ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรงกับบริษัท การมีสัดส่วนที่สูงช่วยให้เกิดการคานอำนาจและตรวจสอบที่ดี
  • โครงสร้างค่าตอบแทนผู้บริหาร: มีการผูกค่าตอบแทนเข้ากับเป้าหมาย ESG หรือไม่? เช่น ถ้าลดคาร์บอนได้ถึงเป้า CEO จะได้โบนัสเพิ่ม เป็นต้น
  • การเปิดเผยข้อมูลการต่อต้านคอร์รัปชัน: ในรายงานมีการระบุถึงนโยบายและจำนวนเคสที่ตรวจสอบหรือไม่?

การอ่านข้อมูลพวกนี้ในช่วงแรกอาจจะดูน่ากลัวนิดหน่อย เพราะเต็มไปด้วยศัพท์เทคนิค แต่ถ้าเราเริ่มจากสิ่งที่สนใจ เช่น ถ้าเราแคร์เรื่องโลกร้อน ก็ลองพุ่งเป้าไปหาตัวเลขการปล่อยคาร์บอนก่อน พอเริ่มชินแล้ว เราจะมองเห็นภาพรวมและเปรียบเทียบบริษัทต่างๆ ได้เก่งขึ้นเอง!

ถาม-ตอบ สไตล์เด็กบัญชียุคใหม่

พี่รวบรวมคำถามที่น้องๆ น่าจะสงสัยเกี่ยวกับ ESG มาให้ตรงนี้เลย เป็นการ optimize ให้ search engine อย่าง Google หาคำตอบเจอได้ง่ายขึ้นด้วยนะ (หลักการนี้เรียกว่า Answer Engine Optimization หรือ AEO จ้ะ)

Q1: สรุปแล้ว ESG คืออะไรในประโยคเดียว?

A: ESG คือกรอบความคิดในการประเมินบริษัทโดยดู 3 ด้าน คือการดูแลสิ่งแวดล้อม (E), การใส่ใจสังคมและผู้คน (S), และการมีการบริหารจัดการที่โปร่งใสและยุติธรรม (G) เพื่อความสำเร็จในระยะยาว

Q2: ในฐานะนักเรียน/วัยรุ่น หนูจะเอาเรื่อง ESG ไปใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง?

A: ใช้ได้เยอะมาก! 1. ใช้เลือกซื้อของ: สนับสนุนแบรนด์ที่ดีต่อโลก 2. ใช้เลือกที่ฝึกงาน/ทำงานในอนาคต: หาข้อมูลบริษัทที่เราอยากร่วมงานด้วยว่า ESG เขาดีมั้ย? 3. ใช้ในการลงทุน: ถ้าใครเริ่มสนใจการออมเงินหรือลงทุน ก็สามารถเลือกกองทุนหรือหุ้นของบริษัทที่เน้น ESG ได้

Q3: บริษัทที่ทำ ESG จะกำไรน้อยลงรึเปล่า?

A: เป็นความเข้าใจผิดที่พบบ่อยเลย! ในระยะสั้นอาจมีต้นทุนเพิ่มขึ้นบ้าง แต่ในระยะยาว บริษัทที่ทำ ESG ดีมักจะมีความเสี่ยงต่ำกว่า, มีประสิทธิภาพสูงกว่า (เช่น ประหยัดพลังงาน), และเป็นที่รักของลูกค้าและพนักงาน ซึ่งทั้งหมดนี้จะนำไปสู่ผลกำไรที่ มั่นคงและยั่งยืนกว่า ในท้ายที่สุด

Q4: เราจะเชื่อได้ยังไงว่าตัวเลขในรายงานความยั่งยืนไม่ใช่แค่การตลาดสวยๆ (Greenwashing)?

A: คำถามดีมาก! นี่คือจุดที่ต้องใช้วิจารณญาณเลย วิธีตรวจสอบคือ: 1. ดูว่ามีหน่วยงานภายนอกมารับรอง (Assurance) หรือไม่? เหมือนมีคนกลางมาตรวจการบ้านให้ 2. ดูว่าตั้งเป้าหมายชัดเจนและวัดผลได้มั้ย? เช่น “จะลดการปล่อยคาร์บอน 30% ภายในปี 2030” ดีกว่าพูดลอยๆ ว่า “เราจะรักษ์โลก” 3. เปรียบเทียบกับบริษัทอื่นในอุตสาหกรรมเดียวกัน: ถ้าคู่แข่งทำได้ดีกว่ามากๆ อาจแปลว่าบริษัทนี้ยังพยายามไม่พอ

Q5: มีตัวอย่างบริษัทไทยที่ทำเรื่อง ESG ได้น่าสนใจมั้ย?

A: มีหลายที่เลย! ลองไปค้นหารายชื่อหุ้นยั่งยืน (THSI) ของตลาดหลักทรัพย์ดูได้ บริษัทอย่างเช่น SCG ที่เน้นเรื่องเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy), กลุ่มบริษัท B.Grimm Power ที่เน้นผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด หรือ ธนาคารกสิกรไทย (KBank) ที่มีนโยบายให้สินเชื่อกับธุรกิจสีเขียวอย่างจริงจัง เป็นตัวอย่างที่ดีในการเริ่มศึกษาเลยล่ะ

บทสรุป: จากตัวเลขสู่การเปลี่ยนแปลง…ด้วยมือของพวกเรา

มาถึงตรงนี้ น้องๆ คงเห็นแล้วว่า ESG ไม่ใช่เรื่องไกลตัว หรือเรื่องของผู้ใหญ่ใส่สูทคุยกันในห้องประชุมอีกต่อไป แต่มันคือ ‘ภาษาใหม่’ ของโลกธุรกิจที่พวกเราทุกคนต้องเรียนรู้

การอ่านตัวเลขความยั่งยืนในงบการเงิน ก็เหมือนการเรียนรู้ที่จะอ่าน “เจตนา” ของบริษัทนั้นๆ ว่าพวกเขามองไปไกลแค่ไหน พวกเขาแคร์อนาคตของโลกใบนี้—ซึ่งก็คืออนาคตของพวกเรา—มากพอรึเปล่า

พลังอยู่ในมือของพวกเรานะ ในฐานะ ผู้บริโภคแห่งอนาคต, พนักงานแห่งอนาคต, และ ผู้นำแห่งอนาคต การที่เราตั้งคำถาม, การที่เราเลือกสนับสนุน, และการที่เราเลือกที่จะไม่สนับสนุน… ทั้งหมดนี้คือเสียงที่ดังพอจะทำให้บริษัทต่างๆ ต้องหันมาฟัง และเปลี่ยนตัวเองไปในทางที่ดีขึ้น

ครั้งต่อไปที่จะซื้อของ หรือฝันอยากจะทำงานที่ไหน… ลองพลิกไปดู “สมุดพก ESG” ของพวกเขาก่อนสิ แล้วเราจะเจอคำตอบที่มากกว่าแค่ “กำไร” แต่มันคือ “คุณค่า” ที่จะอยู่กับโลกนี้ไปอีกนาน

Most Popular

Categories