จับเทรนด์การเงินปี 2025: SME ต้องปรับกลยุทธ์งบการเงินรับความเปลี่ยนแปลงอย่างไร

 

สวัสดีเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ชาว Gen Z ทุกคน! ในฐานะรุ่นพี่มหา’ลัยที่คลุกคลีกับเรื่องธุรกิจและการเงินมาพอสมควร วันนี้อยากจะมาชวนคุยเรื่องที่ฟังดูอาจจะ ‘ผู้ใหญ่’ ไปนิด แต่บอกเลยว่าโคตรสำคัญสำหรับอนาคตของเราทุกคน โดยเฉพาะใครที่ฝันอยากจะมีธุรกิจเป็นของตัวเอง ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่… นั่นก็คือเรื่อง “เทรนด์การเงินปี 2025” และการปรับตัวของธุรกิจขนาดเล็ก หรือ SME นั่นเอง

หลายคนอาจจะคิดว่า “โห… ยังเรียนไม่จบเลย จะไปรู้เรื่องงบการเงินได้ไง?” หรือ “SME คือไรอะ? เกี่ยวกับเราเหรอ?” ใจเย็นๆ ก่อนนะ! SME ก็ย่อมาจาก Small and Medium-sized Enterprises หรือธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมนี่แหละ ร้านกาแฟเล็กๆ ที่เราชอบไปนั่ง, ร้านขายของออนไลน์ใน IG ที่เรา CF บ่อยๆ, หรือแม้แต่ช่อง YouTube ที่มีทีมงานไม่กี่คน ทั้งหมดนี้ก็คือ SME ทั้งนั้น และการเข้าใจเรื่องเงินๆ ทองๆ ของธุรกิจพวกนี้ ก็เหมือนการมีแผนที่นำทางสู่ความสำเร็จนั่นแหละ!

และในปี 2025 ที่กำลังจะมาถึง โลกการเงินจะเปลี่ยนไปเยอะมาก ใครที่ปรับตัวไม่ทัน อาจจะตกขบวนได้ง่ายๆ เลย วันนี้เราจะมาเจาะลึกกันแบบเข้าใจง่าย สไตล์เด็กมหา’ลัยคุยกัน ว่ามีเทรนด์อะไรบ้าง แล้วธุรกิจเล็กๆ ที่เราฝันอยากจะมี ต้องปรับ ‘กลยุทธ์งบการเงิน’ ยังไงให้รอดและรุ่ง!

ทำไมเราที่เป็นวัยรุ่นต้องมาสนเรื่อง ‘งบการเงิน’ ของ SME ด้วยล่ะ

          เพราะมันคืออนาคตของเรา! ไม่ว่าเราจะอยากเป็นเจ้าของธุรกิจ, เป็นนักลงทุน, หรือแม้แต่เป็นพนักงานในบริษัทเจ๋งๆ การเข้าใจ ‘ภาษาของเงิน’ หรือ งบการเงิน จะทำให้เรา

  • มองขาดกว่าคนอื่น: เห็นเลยว่าธุรกิจไหนกำลังไปได้ดี หรือธุรกิจไหนกำลังมีปัญหา แค่ดูจากตัวเลข ไม่ต้องรอให้เขาเจ๊งก่อน
  • ตัดสินใจเฉียบคมขึ้น: ถ้าเราทำธุรกิจเอง เราจะรู้ว่าควรเอาเงินไปลงกับอะไรดี ควรลดค่าใช้จ่ายตรงไหน หรือควรหาเงินเพิ่มจากไหน
  • เป็นที่ต้องการของตลาด: ไม่ว่าอาชีพไหน ถ้าเข้าใจเรื่องการเงินด้วยนะ โปรไฟล์เราจะดูโปรขึ้น 10 เท่าเลย!

งบการเงินไม่ได้น่าเบื่ออย่างที่คิด มันคือเรื่องเล่าของธุรกิจที่บอกผ่านตัวเลขต่างหากล่ะ! และในปี 2025 เรื่องเล่านี้กำลังจะมีบทใหม่ที่ท้าทายและน่าตื่นเต้นกว่าเดิม

แกะรอย 4 เทรนด์การเงินแห่งปี 2025 ที่ SME ต้องรู้

1. Digital Transformation แบบเต็มรูปแบบ: AI และ Cloud คือเพื่อนซี้คนใหม่

มันคืออะไร?: ถ้าเมื่อก่อนการทำบัญชีคือการนั่งจดในสมุด ใช้ Excel เคาะตัวเลข เดี๋ยวนี้ไม่ใช่แล้ว! ทุกอย่างกำลังย้ายไปอยู่บน ‘คลาวด์’ (Cloud) หมดแล้ว ใช้โปรแกรมบัญชีออนไลน์ที่เข้าถึงได้จากทุกที่ ทุกเวลา แถมยังมี ‘AI’ (Artificial Intelligence) หรือปัญญาประดิษฐ์ เข้ามาช่วยวิเคราะห์ข้อมูลให้เราอีกต่างหาก

ลองนึกภาพตามนะ: เราขายของออนไลน์ ลูกค้าโอนเงินผ่าน PromptPay ปุ๊บ! ระบบบัญชีออนไลน์บันทึกรายรับให้อัตโนมัติ พอสิ้นเดือน AI ก็ช่วยสรุปให้เลยว่าสินค้าตัวไหนขายดีที่สุด ช่วงเวลาไหนคนซื้อเยอะสุด ทำให้เราวางแผนสต็อกของได้แม่นยำขึ้น… เจ๋งปะล่ะ? แล้วมันกระทบกับ ‘กลยุทธ์งบการเงิน’ ยังไง?

  • การลงทุนในเทคโนโลยี: ในงบของเราจะต้องมีบรรทัด ‘ค่าใช้จ่าย’ สำหรับซอฟต์แวร์พวกนี้เพิ่มขึ้น เช่น ค่าบริการโปรแกรมบัญชีออนไลน์รายเดือน (Subscription Fee) แต่มันคือการลงทุนที่คุ้มค่า เพราะมันจะไปลดต้นทุนแฝงอื่นๆ เช่น ค่ากระดาษ ค่าจ้างคนมาคีย์ข้อมูล หรือความผิดพลาดจาก Human Error
  • ข้อมูลแบบ Real-Time: เราไม่ต้องรอสิ้นเดือนเพื่อปิดงบอีกต่อไป ผู้ประกอบการสามารถเห็นสถานะการเงินของธุรกิจได้แบบสดๆ ทำให้ตัดสินใจได้เร็วขึ้นมาก เช่น เห็นว่าเงินสดกำลังจะขาดมือ ก็รีบหาทางหมุนเงินได้ทัน ไม่ใช่รอจนเช็คเด้ง!
  • การพยากรณ์ที่แม่นยำขึ้น (Forecasting): AI สามารถวิเคราะห์ข้อมูลในอดีตเพื่อทำนายยอดขายในอนาคตได้ ทำให้เราวางแผนงบประมาณ (Budgeting) ได้เฉียบขาดขึ้น รู้ว่าควรจะสำรองเงินสดไว้เท่าไหร่ หรือควรจะลงทุนเพิ่มตอนไหน

2. ESG ไม่ใช่แค่เทรนด์รักษ์โลก แต่คือใบเบิกทางสู่แหล่งทุน

มันคืออะไร?: ESG ย่อมาจาก Environmental (สิ่งแวดล้อม), Social (สังคม), และ Governance (ธรรมาภิบาล) พูดง่ายๆ ก็คือ การทำธุรกิจที่ใส่ใจโลก ใส่ใจสังคม และมีความโปร่งใส ไม่ใช่คิดถึงแต่กำไรอย่างเดียว เช่น การใช้บรรจุภัณฑ์รีไซเคิล (E), การดูแลสวัสดิการพนักงานอย่างดี (S), หรือการเสียภาษีอย่างถูกต้อง (G)

วัยรุ่นอย่างเราๆ ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากใช่ไหมล่ะ? เรายอมจ่ายแพงขึ้นนิดหน่อยเพื่อสนับสนุนแบรนด์ที่ ‘ดี’ และในโลกการเงินก็เหมือนกัน! ธนาคารและนักลงทุนสมัยใหม่ก็มองหาธุรกิจ ESG เพื่อที่จะให้เงินกู้หรือเข้าไปลงทุนด้วยนะ แล้วมันกระทบกับ ‘กลยุทธ์งบการเงิน’ ยังไง?

  • ต้นทุนเพื่อความยั่งยืน: งบการเงินจะต้องสะท้อนต้นทุนส่วนนี้ให้ชัดเจน เช่น ‘ต้นทุนบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม’ หรือ ‘ค่าใช้จ่ายในการจัดการของเสีย’ ซึ่งตอนแรกอาจจะดูเหมือนเป็นรายจ่ายที่เพิ่มขึ้น แต่ในระยะยาวมันอาจจะสร้างผลตอบแทนกลับมาในรูปแบบของภาพลักษณ์แบรนด์ที่ดีและยอดขายที่เพิ่มขึ้น
  • การเข้าถึง ‘สินเชื่อสีเขียว’ (Green Loan): ธนาคารหลายแห่งในไทยเริ่มมีนโยบายปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยพิเศษให้กับธุรกิจที่ดำเนินงานตามหลัก ESG การเตรียมงบการเงินและรายงานที่แสดงให้เห็นว่าเราทำเรื่องพวกนี้จริงจัง จะเป็นใบเบิกทางชั้นดีเลย
  • การวัดผลที่ไม่ใช่แค่ตัวเงิน: งบการเงินในอนาคตอาจจะต้องมี ‘รายงานความยั่งยืน’ (Sustainability Report) แนบท้ายไปด้วย เพื่อบอกนักลงทุนและลูกค้าว่าเราสร้างผลกระทบที่ดีต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมไปมากแค่ไหน เช่น ลดการปล่อยคาร์บอนไปได้กี่ตัน หรือสร้างงานในชุมชนได้กี่ตำแหน่ง

3. Data is the New Oil: ใช้ข้อมูลขับเคลื่อนทุกการตัดสินใจทางการเงิน

มันคืออะไร?: ข้อมูลคือขุมทรัพย์ใหม่! ทุกการกระทำของลูกค้าในโลกออนไลน์ทิ้ง ‘ร่องรอยดิจิทัล’ (Digital Footprint) ไว้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการกดไลก์, การคลิกดูสินค้า, หรือการซื้อของ SME ที่ฉลาดจะเก็บและนำข้อมูลเหล่านี้มาวิเคราะห์เพื่อทำความเข้าใจลูกค้าให้ลึกซึ้งที่สุด

มันก็เหมือนกับการที่เราดู TikTok แล้วอัลกอริทึมมันรู้ใจเรา ส่งแต่คลิปที่เราชอบมาให้ดูนั่นแหละ ในทางธุรกิจก็คือการใช้ Data เพื่อเสนอสินค้าและโปรโมชั่นที่ ‘ใช่’ สำหรับลูกค้าแต่ละคน แล้วมันกระทบกับ ‘กลยุทธ์งบการเงิน’ ยังไง?

  • งบประมาณการตลาดที่ฉลาดขึ้น: แทนที่จะหว่านเงินลงโฆษณาไปมั่วๆ เราสามารถใช้งบประมาณไปกับกลุ่มเป้าหมายที่ถูกต้องได้เลย ทำให้ ‘ผลตอบแทนจากการลงทุน’ (Return on Investment – ROI) ของงบการตลาดสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ในงบกำไรขาดทุน เราจะเห็นเลยว่าใช้เงินค่าโฆษณาไปเท่านี้ แต่สร้างยอดขายกลับมาได้เท่าไหร่
  • การตั้งราคาแบบ Dynamic: เราสามารถใช้ข้อมูลเพื่อตั้งราคาที่เหมาะสมกับช่วงเวลาหรือกลุ่มลูกค้าได้ เช่น ช่วงไหนของหมดเร็ว อาจจะปรับราคาสูงขึ้นนิดหน่อย หรือให้ส่วนลดพิเศษกับลูกค้าประจำที่ซื้อบ่อยๆ สิ่งนี้จะถูกบันทึกในส่วนของ ‘รายได้จากการขาย’ ในงบการเงิน
  • การจัดการสินค้าคงคลัง (Inventory Management): ข้อมูลบอกเราได้ว่าสินค้าตัวไหนกำลังจะฮิต ตัวไหนกำลังจะเอาท์ ทำให้เราสั่งของมาสต็อกได้พอดีเป๊ะ ลดความเสี่ยงของขาด หรือของเหลือทิ้ง ซึ่งช่วยลด ‘ต้นทุนสินค้าคงคลัง’ ในงบดุลได้อย่างมหาศาล

4. The Gig Economy & Flexible Workforce: เมื่อ ‘พนักงาน’ ไม่ได้แปลว่า ‘พนักงานประจำ’

มันคืออะไร?: ยุคนี้คนเก่งๆ ไม่จำเป็นต้องทำงานในออฟฟิศเสมอไป หลายคนเลือกที่จะเป็น ‘ฟรีแลนซ์’ หรือทำงานเป็นโปรเจกต์ๆ ไป (Gig Worker) มากขึ้น ธุรกิจ SME เองก็หันมานิยมจ้างงานแบบนี้ เพราะยืดหยุ่นกว่าและไม่ต้องแบกรับต้นทุนพนักงานประจำทั้งหมด แล้วมันกระทบกับ ‘กลยุทธ์งบการเงิน’ ยังไง?

  • เปลี่ยนจากต้นทุนคงที่ (Fixed Cost) เป็นต้นทุนผันแปร (Variable Cost): เงินเดือนพนักงานประจำคือต้นทุนคงที่ที่ต้องจ่ายทุกเดือนไม่ว่ายอดขายจะเป็นยังไง แต่ค่าจ้างฟรีแลนซ์คือต้นทุนผันแปรที่เกิดขึ้นเมื่อมีงาน ทำให้การบริหารกระแสเงินสด (Cash Flow) ทำได้ง่ายขึ้น ในงบกำไรขาดทุน ‘ค่าใช้จ่ายในการบริหาร’ จะยืดหยุ่นตามปริมาณงาน
  • การวางแผนภาษีที่ซับซ้อนขึ้น: การจ้างฟรีแลนซ์มีเรื่องภาษีหัก ณ ที่จ่ายเข้ามาเกี่ยวข้อง ธุรกิจต้องวางแผนและบันทึกบัญชีส่วนนี้ให้ถูกต้องแม่นยำ เพื่อไม่ให้มีปัญหากับสรรพากรทีหลัง
  • การจัดสรรงบสำหรับ Up-skill/Re-skill: เมื่อจ้างคนนอกมากขึ้น SME อาจจะต้องตั้งงบประมาณส่วนหนึ่งไว้สำหรับพัฒนาทักษะของทีมงานหลักที่มีอยู่ เพื่อให้สามารถทำงานร่วมกับฟรีแลนซ์ผู้เชี่ยวชาญได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

Q&A ถามมา-ตอบไป 

ถาม: ต้องเรียนจบบัญชีหรือบริหารมั้ย ถึงจะเข้าใจเรื่องพวกนี้ได้?

ตอบ: ไม่จำเป็นเลย! ความรู้พวกนี้หาเรียนรู้ได้ตลอดเวลา เดี๋ยวนี้มีคอร์สออนไลน์ฟรีๆ เพียบ ช่อง YouTube ที่สอนเรื่องธุรกิจแบบย่อยง่ายก็เยอะ แค่เรามีความใฝ่รู้และเปิดใจ ก็เริ่มต้นได้แล้ว การเข้าใจหลักการพื้นฐานสำคัญกว่าการรู้ทุกรายละเอียดนะ

ถาม: มีเครื่องมือหรือแอปฯ อะไรแนะนำสำหรับ SME มือใหม่มั้ย?

ตอบ: มีเยอะมาก! สำหรับโปรแกรมบัญชีออนไลน์ในไทยที่ใช้ง่ายๆ ก็มีอย่าง FlowAccount, Peak Account ที่เชื่อมกับระบบธนาคารได้เลย ส่วนการจัดการข้อมูลลูกค้าเบื้องต้นอาจจะเริ่มจาก Google Sheets หรือถ้าแอดวานซ์ขึ้นมาหน่อยก็ลองดูพวก CRM (Customer Relationship Management) ขนาดเล็ก ส่วนเรื่องการจ่ายเงินก็ใช้พวก Payment Gateway ที่เชื่อมกับ QR PromptPay หรือ TrueMoney Wallet ได้เลย สะดวกมาก!

ถาม: เทรนด์ ESG ดูเป็นเรื่องของบริษัทใหญ่ๆ SME เล็กๆ จะทำได้จริงเหรอ?

ตอบ: ทำได้แน่นอน และควรทำด้วย! ไม่ต้องเริ่มจากอะไรที่ยิ่งใหญ่ แค่เปลี่ยนมาใช้ถุงกระดาษแทนพลาสติก, แยกขยะในร้าน, หรือเลือกซื้อวัตถุดิบจากซัพพลายเออร์ในท้องถิ่น ก็ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดีแล้ว สิ่งสำคัญคือการสื่อสารให้ลูกค้ารู้ว่าเราใส่ใจเรื่องนี้จริงๆ มันคือการสร้าง Brand Love ในระยะยาว

ถาม: ถ้าอยากเริ่มศึกษาเรื่องงบการเงิน ควรเริ่มจากตรงไหนดี?

ตอบ: ให้เริ่มจากทำความเข้าใจงบการเงิน 3 ตัวหลักก่อน คือ 1. งบดุล (Balance Sheet) ที่บอกว่าธุรกิจมีทรัพย์สินหนี้สินเท่าไหร่ 2. งบกำไรขาดทุน (Income Statement) ที่บอกว่าขายของได้กำไรหรือขาดทุน และ 3. งบกระแสเงินสด (Cash Flow Statement) ที่บอกว่าเงินสดหมุนเข้า-ออกธุรกิจยังไง แค่เข้าใจ 3 ตัวนี้ ก็เหมือนเราอ่านเกมธุรกิจออกไปกว่าครึ่งแล้ว!

 

สรุป: ไม่ต้องกลัว! แค่ต้องปรับตัว

โลกการเงินปี 2025 อาจจะดูซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงเร็ว แต่ในความท้าทายก็มีโอกาสซ่อนอยู่เสมอ SME ที่เปิดรับเทคโนโลยี, ใส่ใจสังคมและสิ่งแวดล้อม, ใช้ข้อมูลให้เป็นประโยชน์ และบริหารจัดการคนได้อย่างยืดหยุ่น จะเป็นผู้ที่อยู่รอดและเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง สำหรับเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่มีความฝันอยากเป็นเจ้าของกิจการ การเริ่มทำความเข้าใจเรื่องพวกนี้ตั้งแต่วันนี้ คือการสร้างรากฐานที่มั่นคงให้กับความฝันของเรา มันอาจจะไม่ง่าย แต่เชื่อเถอะว่ามันไม่ยากเกินความสามารถของคน Gen Z อย่างพวกเราแน่นอน!

 

Most Popular

Categories