แนวทางอ่านงบกำไรขาดทุนและกระแสเงินสดสำหรับเจ้าของกิจการมือใหม่

 

 

อ่านงบการเงินยังไงให้โปร? ฉบับเจ้าของกิจการ Gen Z มือใหม่หัดขับ!

สวัสดีเพื่อนๆ พี่ชื่อนัทนะ เป็นรุ่นพี่คณะบัญชีที่เคยผ่านจุดที่ทุกคนกำลังเจอมาก่อน… จุดที่แบบว่า… “ยอดขายก็ปังนะเว้ย แต่ทำไมสิ้นเดือนเงินในบัญชีมันไม่เหลือเลยวะ?” ใครเคยรู้สึกแบบนี้บ้างยกมือขึ้น! 🙋‍♂️🙋‍♀️

ไม่ว่าเพื่อนๆ จะเปิดร้านพรีออเดอร์, ขายเสื้อผ้าในไอจี, ทำร้านกาแฟเล็กๆ หรือเป็นฟรีแลนซ์รับงานกราฟิก… การเป็นเจ้าของกิจการมันเท่มาก! แต่ความเท่จะหายไปทันทีถ้าเราบริหารเงินไม่เป็น วันนี้พี่เลยจะมาแชร์ “สกิลลับ” ที่เจ้าของธุรกิจทุกคนต้องมี นั่นคือ “การอ่านงบการเงิน” แบบฉบับจับมือทำ ไม่ต้องกลัวศัพท์ยากๆ พี่จะแปลจากภาษาเทพบัญชีให้เป็นภาษาคนที่เราคุยกันนี่แหละ พร้อมแล้วก็ลุยกันเลย!

ทำไมต้องอ่านงบการเงินด้วยล่ะพี่? เสียเวลาป่ะ?

คำถามดีมาก! ตอนแรกพี่ก็คิดแบบนั้นแหละ ขายของก็เหนื่อยจะแย่แล้ว ยังต้องมาดูตัวเลขอีกเหรอ? แต่เชื่อพี่เถอะว่ามันโคตรสำคัญเลย มันเหมือนเรามี GPS นำทางให้ธุรกิจอ่ะ เหตุผลหลักๆ ก็ตามนี้เลย:

  • รู้ว่า “กำไรจริงๆ” คือเท่าไหร่: ยอดขายเยอะไม่ได้แปลว่ากำไรเยอะเสมอไปนะจ๊ะ งบการเงินจะบอกเราว่าหลังหักค่าใช้จ่ายทุกอย่างแล้ว เราเหลือเงินเข้ากระเป๋าจริงๆ เท่าไหร่
  • ช่วยให้ตัดสินใจได้เฉียบขึ้น: ควรลดราคาสินค้าตัวนี้ดีมั้ย? ควรยิงแอดเพิ่มอีกเท่าไหร่? ควรสั่งของมาสต็อกเพิ่มมั้ย? ข้อมูลในงบการเงินจะช่วยให้เราตอบคำถามพวกนี้โดยใช้ “ข้อมูลจริง” ไม่ใช่ “ความรู้สึก”
  • เจอ “รูรั่ว” ก่อนเรือจะล่ม: บางทีเราอาจจะมีค่าใช้จ่ายบางอย่างที่สูงเกินไปโดยไม่รู้ตัว งบการเงินจะฟ้องเราหมดเปลือก ทำให้เราอุดรอยรั่วได้ทันเวลา
  • คุยกับคนอื่นได้แบบมือโปร: ในอนาคตถ้าเราอยากกู้เงินจากธนาคาร หรือหาคนมาร่วมลงทุนกับเรา การที่เราเข้าใจงบการเงินของตัวเองจะทำให้เราดูน่าเชื่อถือขึ้น 300%

เอาล่ะ! พอเห็นความสำคัญแล้วใช่มั้ย? งั้นเรามาเริ่มที่งบตัวแรกที่ทุกคนต้องรู้จักกันเลย


Part 1: งบกำไรขาดทุน (P&L) – ตกลงร้านเรา “รอด” หรือ “ร่วง”?

คอนเซ็ปต์ง่ายๆ: งบกำไรขาดทุน หรือ Profit & Loss Statement (P&L) ก็เหมือน “สมุดพก” หรือ “ใบเกรด” ของธุรกิจเราในช่วงเวลาหนึ่งๆ เช่น 1 เดือน, 3 เดือน หรือ 1 ปี มันจะโชว์ว่าในช่วงนั้นๆ เราทำรายได้มาเท่าไหร่ มีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง และสุดท้าย… เรากำไรหรือขาดทุน

มาผ่าตัดโครงสร้างของมันกันทีละส่วนเลยนะ พี่จะใช้ตัวอย่าง “ร้านขายเสื้อยืดสกรีนลายสุดคูล” ของเราละกัน

1. รายได้ (Revenue / Sales)

นี่คือยอดบนสุดของงบ และเป็นสิ่งที่ทุกคนชอบดูที่สุด มันคือ เงินทั้งหมดที่เราได้จากการขายสินค้าหรือบริการ ยังไม่ได้หักค่าใช้จ่ายอะไรทั้งนั้นนะ
ตัวอย่าง: เดือนนี้เราขายเสื้อยืดไป 100 ตัว ตัวละ 300 บาท รายได้ = 100 x 300 = 30,000 บาท

2. ต้นทุนขาย (Cost of Goods Sold – COGS)

มันคือ “ต้นทุนโดยตรง” ของสินค้าที่เราขายไปเท่านั้น ย้ำว่าโดยตรง! ถ้าไม่ได้ขายของชิ้นนั้น ก็จะไม่เกิดต้นทุนนี้
ตัวอย่าง: สำหรับร้านเสื้อยืด ต้นทุนขายก็คือ ค่าเสื้อยืดเปล่า (ตัวละ 80 บาท) + ค่าสกรีนลาย (ตัวละ 20 บาท) = ต้นทุนต่อตัว 100 บาท
ดังนั้น ต้นทุนขาย = 100 ตัว x 100 บาท = 10,000 บาท

3. กำไรขั้นต้น (Gross Profit)

นี่คือเลเวลแรกของการวัดความสามารถในการทำกำไรของเรา คำนวณง่ายๆ คือ รายได้ – ต้นทุนขาย
ตัวอย่าง: กำไรขั้นต้น = 30,000 – 10,000 = 20,000 บาท
ตัวเลขนี้บอกเราว่า ธุรกิจหลักของเรา (การขายเสื้อ) มันทำกำไรได้ดีแค่ไหนก่อนไปหักค่าใช้จ่ายอื่นๆ

พี่มีทริคมาฝาก: ลองคำนวณ อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ดูสิ!
สูตรคือ (กำไรขั้นต้น / รายได้) x 100
ตัวอย่าง: (20,000 / 30,000) x 100 = 66.7%
ตัวเลขนี้เอาไว้เทียบกับคู่แข่งหรือดูพัฒนาการของร้านเราเองได้ดีมากๆ เลยนะ

4. ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A Expenses)

นี่คือค่าใช้จ่ายอื่นๆ ทั้งหมดที่ไม่ใช่ต้นทุนขายโดยตรง พูดง่ายๆ คือ ค่าใช้จ่ายในการ “ดำเนินธุรกิจ” นั่นแหละ
ตัวอย่าง:

  • ค่าเช่าที่ (ถ้ามีหน้าร้าน): 5,000 บาท
  • ค่ายิงแอด Facebook/IG: 3,000 บาท
  • ค่าแพ็กของ (กล่อง, เทป): 500 บาท
  • ค่าจ้างน้องมาช่วยแพ็กของ: 2,000 บาท
  • ค่าอินเทอร์เน็ต, ค่าโทรศัพท์: 500 บาท

รวมค่าใช้จ่าย SG&A = 11,000 บาท

5. กำไรสุทธิ (Net Profit / Net Income)

และแล้วก็มาถึงบรรทัดสุดท้ายที่ทุกคนรอคอย! กำไรสุทธิ หรือที่ฝรั่งเรียกกันว่า “The Bottom Line” มันคือเงินที่เหลือจริงๆ ในกระเป๋าเราหลังจากหักค่าใช้จ่ายทุกอย่างหมดแล้ว!
สูตรคือ กำไรขั้นต้น – ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (พี่ขอข้ามเรื่องดอกเบี้ยกับภาษีไปก่อนนะ เอาแบบเบสิกสุดๆ)
ตัวอย่าง: กำไรสุทธิ = 20,000 – 11,000 = 9,000 บาท

เห็นมั้ย? ยอดขาย 30,000 บาท แต่กำไรจริงๆ คือ 9,000 บาท นี่แหละคือพลังของงบกำไรขาดทุน มันทำให้เราเห็นภาพรวมทั้งหมด ไม่ใช่แค่ยอดขายสวยๆ อย่างเดียว


Part 2: งบกระแสเงินสด (Cash Flow Statement) – เงินสดในมือ… หายไปไหนหมด?

งบตัวนี้คือ “คู่หู” ของงบกำไรขาดทุนที่ขาดกันไม่ได้เลย ถ้า P&L คือ “ใบเกรด” งบกระแสเงินสดก็เหมือน “วิดีโอที่ถ่ายการไหลเข้า-ออกของเงินในบัญชีธนาคารเรา” เลยแหละ

คำถามสุดคลาสสิก: “พี่นัท! ทำไมในงบ P&L ผมกำไรตั้ง 9,000 แต่เงินในบัญชีมันไม่ถึงอ่ะ?”
คำตอบ: เพราะว่า “กำไร ไม่เท่ากับ เงินสด” ไงล่ะ!

งงล่ะสิ? มาดูตัวอย่างนี้:
สมมติเพื่อนเรามาซื้อเสื้อแล้วบอก “เห้ย เดี๋ยวสิ้นเดือนโอนให้นะ”
– ใน งบกำไรขาดทุน (P&L) เราจะบันทึก “รายได้” 300 บาททันที ทำให้ “กำไร” เพิ่มขึ้น
– แต่ใน งบกระแสเงินสด (Cash Flow) เงินสดยังไม่เข้าบัญชีเรานะ! มันจะเป็นศูนย์ จนกว่าเพื่อนจะโอนมาจริงๆ

นี่แหละคือความต่าง! งบกระแสเงินสดจะโฟกัสแค่ “เงินสดจริงๆ” ที่เข้าและออกจากธุรกิจเราเท่านั้น ซึ่งสำคัญมากๆ เพราะถ้าเราไม่มีเงินสดจ่ายค่าเช่าหรือซื้อของมาขายต่อ… ธุรกิจก็เจ๊งได้นะ ต่อให้ในกระดาษจะกำไรก็ตาม!

งบกระแสเงินสดจะแบ่งเงินที่ไหลเข้า-ออกเป็น 3 กิจกรรมหลักๆ:

1. กระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงาน (Cash Flow from Operating Activities – CFO)

นี่คือหัวใจของธุรกิจเลย มันคือเงินสดที่ได้มาจาก การทำธุรกิจหลักๆ ของเรา
เงินสดเข้า (+): เงินที่ลูกค้าจ่ายค่าเสื้อ, เงินที่ลูกหนี้ (แบบเพื่อนคนเมื่อกี้) โอนมาให้
เงินสดออก (-): จ่ายค่าเสื้อเปล่าให้ซัพพลายเออร์, จ่ายค่าเช่า, จ่ายค่ายิงแอด, จ่ายเงินเดือนน้องที่มาช่วยงาน
สำหรับธุรกิจที่ดี ค่าตรงนี้ควรจะเป็นบวกนะ แปลว่าธุรกิจหลักของเราสามารถสร้างเงินสดได้เอง

2. กระแสเงินสดจากกิจกรรมลงทุน (Cash Flow from Investing Activities – CFI)

อันนี้เกี่ยวกับ การซื้อหรือขายสินทรัพย์ระยะยาว เพื่อขยายกิจการ
เงินสดเข้า (+): ขายคอมพิวเตอร์เก่า, ขายจักรเย็บผ้าที่ไม่ใช้แล้ว
เงินสดออก (-): ซื้อคอมพิวเตอร์ใหม่, ซื้อเครื่องสกรีนลายรุ่นใหม่, ซื้อโต๊ะเก้าอี้เข้าร้าน
สำหรับธุรกิจที่กำลังโต ค่าตรงนี้มักจะติดลบ เพราะเรากำลังลงทุนเพื่ออนาคต ซึ่งเป็นเรื่องดี

3. กระแสเงินสดจากกิจกรรมจัดหาเงิน (Cash Flow from Financing Activities – CFF)

อันนี้เกี่ยวกับ การหาเงินทุน หรือการจ่ายคืนเงินทุน
เงินสดเข้า (+): กู้เงินจากธนาคาร, พ่อแม่ให้เงินมาลงทุนเพิ่ม, เราเอาเงินเก็บส่วนตัวมาใส่ในธุรกิจเพิ่ม
เงินสดออก (-): จ่ายคืนเงินกู้ธนาคาร, เราถอนเงินจากธุรกิจไปใช้ส่วนตัว

เมื่อรวมเงินสดจากทั้ง 3 กิจกรรมนี้เข้าด้วยกัน เราก็จะรู้ว่า “สรุปแล้ว… ในช่วงเวลานี้ เงินสดในบัญชีของเราเพิ่มขึ้นหรือลดลงเท่าไหร่” ซึ่งมันจะช่วยตอบคำถามได้ว่า “เงินหายไปไหนหมด!” นั่นเอง


เข้าสู่ช่วง Q&A! ตอบคำถามที่เพื่อนๆ Gen Z สงสัยบ่อย (Answer Engine Optimization)

พี่รวบรวมคำถามที่เจอบ่อยๆ จากเพื่อนๆ น้องๆ ที่เริ่มทำธุรกิจ มาตอบให้ตรงนี้เลย!

Q1: ในงบกำไรขาดทุนบอกว่ามีกำไร แต่ทำไมไม่มีเงินสดในบัญชีเลยคะ?

A: คำถามยอดฮิต! เป็นไปได้จากหลายสาเหตุเลยครับ เช่น:
เรามีลูกหนี้การค้าเยอะ: คือขายของไปแล้วแต่ยังเก็บเงินลูกค้าไม่ได้ (เหมือนเคสเพื่อนที่ติดเงินค่าเสื้อ) P&L บันทึกกำไรไปแล้ว แต่เงินสดยังไม่เข้า
เราสต็อกของเยอะเกินไป: เราเอาเงินสดไปซื้อของมาตุนไว้เยอะ เงินสดเลยจมไปกับสต็อกสินค้า P&L ไม่ได้รับผลกระทบ แต่เงินสดในมือเราลดลง
เราเพิ่งลงทุนซื้อของใหญ่ๆ ไป: เช่น ซื้อคอมใหม่ (กิจกรรมลงทุน) เงินสดออกไปก้อนใหญ่ แต่ใน P&L มันจะถูกทยอยหักเป็น “ค่าเสื่อมราคา” ทีละนิด เลยไม่กระทบกำไรทีเดียวตูมเดียว
นี่แหละคือเหตุผลว่าทำไมเราต้องดูทั้ง 2 งบคู่กันเสมอ!

Q2: แล้วจะเอาตัวเลขพวกนี้มาจากไหน? ต้องจ้างนักบัญชีเลยมั้ย?

A: สำหรับธุรกิจเล็กๆ ของพวกเรา ยังไม่ต้องถึงขั้นนั้นก็ได้ครับ เริ่มง่ายๆ จาก:
ทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย: ใช้แอปพลิเคชันในมือถือ หรือทำใน Google Sheets/Excel ก็ได้ แค่บันทึกทุกอย่างที่เงินเข้า-เงินออก มันคือจุดเริ่มต้นที่ดีที่สุด
เก็บหลักฐานทุกอย่าง: ใบเสร็จค่าของ, สลิปโอนเงิน, บิลค่าเน็ต… ถ่ายรูปเก็บไว้ในโฟลเดอร์ให้เป็นระเบียบเลย อนาคตได้ใช้แน่นอน
แยกบัญชีส่วนตัวกับบัญชีร้าน: อันนี้สำคัญมาก! ห้ามใช้ปนกันเด็ดขาด ไม่งั้นจะงงและมั่วไปหมด ทำให้ไม่รู้สถานะที่แท้จริงของธุรกิจ

Q3: ร้านหนูเล็กมากๆ แค่ขายของออนไลน์ในไอจี จำเป็นต้องทำอะไรพวกนี้ด้วยเหรอ?

A: จำเป็นมาก! การสร้างนิสัยทางการเงินที่ดีตั้งแต่ตอนที่ธุรกิจยังเล็กๆ จะทำให้เราโตไปได้อย่างยั่งยืน มันเหมือนการออกกำลังกายแหละ เริ่มตั้งแต่วันนี้ พอธุรกิจเราใหญ่ขึ้น เราก็จะมี “กล้ามเนื้อทางการเงิน” ที่แข็งแรง พร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์

Q4: ระหว่าง “กำไรสุทธิ” กับ “กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน” ตัวไหนสำคัญที่สุด?

A: เหมือนถามว่าระหว่างหัวใจกับสมองอะไรสำคัญกว่ากันเลย! มันสำคัญทั้งคู่แต่ทำหน้าที่ต่างกัน
กำไรสุทธิ (Net Profit) บอกถึง “ประสิทธิภาพ” ในการทำธุรกิจ ว่าเราเก่งแค่ไหนในการทำเงินจากรายได้ที่มี
กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน (CFO) บอกถึง “สภาพคล่อง” หรือ “สายป่าน” ของธุรกิจ ว่าเรามีเงินสดหมุนเวียนพอที่จะเอาตัวรอดในแต่ละวันหรือไม่
ธุรกิจที่กำไรดีแต่ขาดเงินสด ก็เหมือนนักวิ่งที่เก่งแต่ขาดน้ำ อาจจะล้มกลางทางได้ ส่วนธุรกิจที่เงินสดดีแต่ไม่กำไร ก็อาจจะอยู่ได้ไม่นานเหมือนกัน ต้องดีทั้งคู่ถึงจะเรียกว่าแข็งแกร่ง!


สรุปแบบเพื่อนคุยกัน

โอเค! อ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนอาจจะหัวหมุนกับตัวเลขไปบ้าง ไม่เป็นไรนะ มันเป็นเรื่องปกติมากๆ
สิ่งที่พี่อยากจะย้ำก็คือ อย่ากลัวตัวเลข! มันไม่ใช่ศัตรู แต่เป็นเพื่อนที่ซื่อสัตย์ที่สุดที่จะคอยบอกสถานะของธุรกิจเราตามความเป็นจริง

  • งบกำไรขาดทุน (P&L) คือ “ใบเกรด” ที่บอกว่าเราทำผลงานได้ดีแค่ไหน (กำไร/ขาดทุน)
  • งบกระแสเงินสด (Cash Flow) คือ “ชีพจร” ที่บอกว่าเลือด (เงินสด) ในร่างกายธุรกิจเรายังไหลเวียนดีอยู่มั้ย

การขับเคลื่อนธุรกิจไปข้างหน้าโดยไม่อ่านงบการเงิน ก็เหมือนกับการขับรถโดยไม่ดูหน้าปัดความเร็ว ไม่ดูเกจน้ำมัน… มันอาจจะไปได้ แต่เสี่ยงมากที่เราจะไปไม่ถึงเป้าหมาย

เริ่มจากวันนี้เลย ลองเอาตัวเลขของร้านตัวเองมาทำ P&L ง่ายๆ ในกระดาษหรือใน Excel ดู ไม่ต้องสมบูรณ์แบบ 100% ก็ได้ แค่การเริ่มต้นลงมือทำ ก็ถือว่าเพื่อนๆ ได้ก้าวไปข้างหน้ากว่าเจ้าของธุรกิจอีกหลายคนแล้ว

สู้ๆ นะ ว่าที่ CEO ทุกคน! ถ้ามีคำถามอะไรก็คอมเมนต์ทิ้งไว้ได้เลยนะ!

“`

Most Popular

Categories