ใช้ Ratio Analysis วิเคราะห์จุดแข็งจุดอ่อน ธุรกิจ SME อย่างมีประสิทธิภาพ

 

ใช้ Ratio Analysis วิเคราะห์จุดแข็งจุดอ่อน ธุรกิจ SME อย่างมีประสิทธิภาพ

สวัสดีเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ทุกคน! เคยสงสัยกันมั้ยว่าทำไมร้านกาแฟเปิดใหม่ใกล้บ้านบางร้านถึงฮิตติดลมบน แต่บางร้านกลับต้องปิดตัวไปเงียบๆ? หรือเวลาเห็นธุรกิจ SME ที่ดูดีมากๆ ในโซเชียล เราจะรู้ได้ยังไงว่าจริงๆ แล้ว “สุขภาพทางการเงิน” ของเขาแข็งแรงจริงหรือเปล่า?

วันนี้เราจะมาคุยกันเรื่อง “Ratio Analysis” หรือ การวิเคราะห์อัตราส่วนทางการเงิน ซึ่งฟังดูอาจจะน่าเบื่อและเต็มไปด้วยตัวเลข แต่บอกเลยว่านี่คือ “อาวุธลับ” ที่จะทำให้เรามองทะลุเข้าไปถึงไส้ในของธุรกิจได้เหมือนมี X-ray เลยล่ะ ไม่ว่าเพื่อนๆ จะฝันอยากมีธุรกิจของตัวเอง, ช่วยกิจการที่บ้าน, หรือแค่อยากเข้าใจโลกธุรกิจมากขึ้น บทความนี้จะย่อยเรื่องยากๆ ให้กลายเป็นเรื่องง่ายๆ สไตล์เด็กมหา’ลัยคุยกันเอง!

Ratio Analysis คืออะไร? ทำไมวัยรุ่นอย่างเราต้องแคร์?

ลองนึกภาพตามนะ… เวลาเราไปหาหมอ หมอไม่ได้มองหน้าเราแล้วบอกได้เลยว่าเราป่วยเป็นอะไรใช่ปะ? หมอต้องวัดไข้ วัดความดัน เจาะเลือดไปตรวจ… ซึ่งผลที่ได้ออกมาเป็น “ตัวเลข” ที่จะบอกสุขภาพของเรา

Ratio Analysis ก็คือการตรวจสุขภาพของธุรกิจนี่แหละ!

เราจะหยิบเอาตัวเลขจาก “งบการเงิน” (เหมือนผลตรวจเลือดของธุรกิจ) มาคำนวณเปรียบเทียบกันเป็น “อัตราส่วน” (Ratio) เพื่อตอบคำถามสำคัญๆ เช่น:

  • ธุรกิจนี้มีเงินสดพอจ่ายหนี้ระยะสั้นมั้ย? (สภาพคล่อง)
  • ขายของเก่งแล้วเหลือกำไรจริงๆ เท่าไหร่? (ความสามารถในการทำกำไร)
  • ใช้ทรัพย์สินที่มีอยู่ได้คุ้มค่าแค่ไหน? (ประสิทธิภาพ)
  • ธุรกิจมีหนี้สินเยอะเกินไปจนน่าเป็นห่วงรึเปล่า? (โครงสร้างหนี้)

การเข้าใจสิ่งเหล่านี้ ไม่ใช่แค่เรื่องของนักบัญชีหรือผู้บริหารแก่ๆ นะ แต่สำหรับวัยรุ่นอย่างเรา มันคือการติดสกิลเทพที่ทำให้เรามองธุรกิจได้ขาดและตัดสินใจได้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเริ่มโปรเจกต์เล็กๆ ของตัวเอง หรือวิเคราะห์ธุรกิจที่น่าสนใจก็ตาม

Key Takeaway: Ratio Analysis คือเครื่องมือที่เปลี่ยนตัวเลขในงบการเงินที่ดูน่าเบื่อ ให้กลายเป็นข้อมูลเชิงลึกที่บอก “สุขภาพ” และ “ประสิทธิภาพ” ของธุรกิจได้

ล้วงลึก 4 กลุ่ม Ratio สำคัญ ที่ SME ไทยต้องรู้!

โอเค! มาถึงเนื้อหาหลักกันแล้ว เราจะแบ่ง Ratio ออกเป็น 4 กลุ่มใหญ่ๆ พร้อมตัวอย่างร้านกาแฟสมมติชื่อ “คาเฟ่ใจฟู” เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น ไปลุยกันเลย!

กลุ่มที่ 1: อัตราส่วนสภาพคล่อง (Liquidity Ratios) – วัดความอึดระยะสั้น

กลุ่มนี้จะตอบคำถามว่า “ธุรกิจมีเงินสดหรือสินทรัพย์ที่เปลี่ยนเป็นเงินสดได้เร็วพอที่จะจ่ายหนี้สินระยะสั้น (ที่ต้องจ่ายภายใน 1 ปี) หรือไม่?” เหมือนถามว่า “ในกระเป๋าตังค์เรามีเงินพอจ่ายค่าข้าวเที่ยงวันนี้รึเปล่า?”

1.1) Current Ratio (อัตราส่วนทุนหมุนเวียน)

ตัวนี้คือเบสิกสุดๆ บอกว่าเรามีสินทรัพย์หมุนเวียน (เงินสด, ลูกหนี้, สินค้าคงคลัง) เป็นกี่เท่าของหนี้สินหมุนเวียน (เจ้าหนี้การค้า, เงินกู้ระยะสั้น)

สูตร: Current Ratio = สินทรัพย์หมุนเวียน / หนี้สินหมุนเวียน

  • ค่าที่ดี: โดยทั่วไปควรจะ มากกว่า 1 เท่า (ส่วนมากมองกันที่ 1.5 – 2 เท่า) แปลว่าเรามีสินทรัพย์พอจ่ายหนี้สบายๆ
  • ค่าน้อยกว่า 1: สัญญาณอันตราย! อาจจะหมุนเงินไม่ทัน จ่ายหนี้ไม่ไหว

ตัวอย่างคาเฟ่ใจฟู: มีสินทรัพย์หมุนเวียน 200,000 บาท และหนี้สินหมุนเวียน 100,000 บาท
Current Ratio = 200,000 / 100,000 = 2 เท่า
วิเคราะห์: เยี่ยมเลย! คาเฟ่ใจฟูมีสภาพคล่องที่ดี มีสินทรัพย์หมุนเวียนเป็น 2 เท่าของหนี้สินระยะสั้น ถือว่ามีกันชนที่ปลอดภัย

1.2) Quick Ratio หรือ Acid-Test Ratio (อัตราส่วนทุนหมุนเวียนเร็ว)

คล้ายกับตัวบน แต่จะเข้มงวดกว่า โดยการตัด “สินค้าคงคลัง” (Inventory) ออกไปก่อน เพราะบางทีสินค้าก็ขายออกเป็นเงินสดได้ไม่ง่าย (เช่น เมล็ดกาแฟที่ยังไม่ได้ใช้, แก้วที่ยังไม่ได้ขาย)

สูตร: Quick Ratio = (สินทรัพย์หมุนเวียน - สินค้าคงคลัง) / หนี้สินหมุนเวียน

  • ค่าที่ดี: ควรจะ มากกว่า 1 เท่า ขึ้นไป แสดงว่าต่อให้ขายของไม่ได้เลย ก็ยังมีเงินพอจ่ายหนี้

ตัวอย่างคาเฟ่ใจฟู: ในสินทรัพย์หมุนเวียน 200,000 บาท มีสินค้าคงคลังอยู่ 80,000 บาท
Quick Ratio = (200,000 - 80,000) / 100,000 = 120,000 / 100,000 = 1.2 เท่า
วิเคราะห์: ยังถือว่าดีอยู่! แม้จะไม่นับรวมสต็อกเมล็ดกาแฟและวัตถุดิบต่างๆ คาเฟ่ใจฟูก็ยังมีสินทรัพย์สภาพคล่องสูงพอที่จะจ่ายหนี้ได้สบายๆ

กลุ่มที่ 2: อัตราส่วนความสามารถในการทำกำไร (Profitability Ratios) – วัดความเก่งในการหาเงิน

กลุ่มนี้ตรงไปตรงมา คือวัดว่าธุรกิจทำกำไรได้ดีแค่ไหน จากยอดขายและการลงทุนต่างๆ ที่ลงไป

2.1) Gross Profit Margin (อัตรากำไรขั้นต้น)

บอกเราว่า จากยอดขาย 100 บาท หลังจากหัก “ต้นทุนขาย” (เช่น ค่าเมล็ดกาแฟ, ค่านม) ออกไปแล้ว จะเหลือกำไรขั้นต้นกี่บาท

สูตร: Gross Profit Margin = (ยอดขาย - ต้นทุนขาย) / ยอดขาย * 100

  • ค่าที่ดี: ยิ่งสูงยิ่งดี แสดงว่าเราควบคุมต้นทุนสินค้าได้เก่ง หรือตั้งราคาขายได้ดี

ตัวอย่างคาเฟ่ใจฟู: มียอดขาย 500,000 บาท มีต้นทุนขาย (ค่าวัตถุดิบ) 200,000 บาท
Gross Profit Margin = (500,000 - 200,000) / 500,000 * 100 = 60%
วิเคราะห์: ตัวเลข 60% ถือว่าสูงมาก! แสดงว่าทุกๆ 100 บาทที่ขายกาแฟได้ จะเหลือกำไรขั้นต้นถึง 60 บาท เพื่อไปจ่ายค่าใช้จ่ายอื่นๆ (ค่าเช่า, ค่าพนักงาน) นี่อาจเป็น จุดแข็ง ของร้านเลย

2.2) Net Profit Margin (อัตรากำไรสุทธิ)

นี่คือ “กำไรบรรทัดสุดท้าย” ที่ทุกคนอยากรู้! หลังจากหักค่าใช้จ่ายทุกอย่างออกหมดแล้ว (ทั้งต้นทุนขาย, ค่าการตลาด, ค่าเช่าร้าน, เงินเดือน, ภาษี) ธุรกิจเหลือเงินเข้ากระเป๋าจริงๆ กี่เปอร์เซ็นต์จากยอดขาย

สูตร: Net Profit Margin = กำไรสุทธิ / ยอดขาย * 100

  • ค่าที่ดี: ยิ่งสูงยิ่งดี สะท้อนประสิทธิภาพในการควบคุมค่าใช้จ่ายโดยรวมทั้งหมด

ตัวอย่างคาเฟ่ใจฟู: จากยอดขาย 500,000 บาท พอหักค่าใช้จ่ายทุกอย่างแล้ว เหลือ “กำไรสุทธิ” 50,000 บาท
Net Profit Margin = 50,000 / 500,000 * 100 = 10%
วิเคราะห์: หมายความว่าทุก 100 บาทที่ขายได้ คาเฟ่ใจฟูเหลือกำไรจริงๆ 10 บาท ตัวเลขนี้อาจจะต้องเทียบกับค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมร้านกาแฟ ถ้าค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 8% ก็แปลว่าเราทำได้ดีกว่า แต่ถ้าค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 15% ก็อาจจะเป็น จุดอ่อน ที่ต้องไปดูว่ามีค่าใช้จ่ายส่วนไหนสูงเกินไปรึเปล่า เช่น ค่าการตลาด หรือค่าเช่าที่แพงเกินไป

กลุ่มที่ 3: อัตราส่วนประสิทธิภาพในการดำเนินงาน (Efficiency Ratios) – วัดความฟิตในการใช้ทรัพย์สิน

กลุ่มนี้จะบอกว่า ธุรกิจใช้สินทรัพย์ที่มีอยู่ เช่น สินค้าคงคลัง หรือเครื่องชงกาแฟ ได้อย่างมีประสิทธิภาพแค่ไหน

3.1) Inventory Turnover (อัตราการหมุนของสินค้าคงคลัง)

วัดว่าในหนึ่งปี ธุรกิจมีการขายและเติมสินค้าคงคลังกี่รอบ ยิ่งหมุนเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี แปลว่าของขายออกไว เงินไม่ไปจมกับสต็อกนาน

สูตร: Inventory Turnover = ต้นทุนขาย / สินค้าคงคลังเฉลี่ย

  • ค่าที่ดี: ยิ่งสูงยิ่งดี (แต่ต้องเทียบกับประเภทธุรกิจด้วย ร้านขายของสดต้องหมุนเร็วกว่าร้านขายเฟอร์นิเจอร์)

ตัวอย่างคาเฟ่ใจฟู: มีต้นทุนขายทั้งปี 2,400,000 บาท และมีสินค้าคงคลังเฉลี่ย 80,000 บาท
Inventory Turnover = 2,400,000 / 80,000 = 30 รอบ/ปี
วิเคราะห์: 30 รอบต่อปีถือว่าดีมากสำหรับร้านกาแฟ! หมายความว่าคาเฟ่ใจฟูมีการสั่งและใช้วัตถุดิบหมดไปประมาณทุกๆ 12 วัน (365/30) แสดงถึงการบริหารจัดการสต็อกที่ดี เป็น จุดแข็ง สำคัญ

กลุ่มที่ 4: อัตราส่วนความสามารถในการชำระหนี้ (Solvency/Leverage Ratios) – วัดความเสี่ยงเรื่องหนี้สิน

กลุ่มสุดท้ายนี้จะดูภาพรวมระยะยาว ว่าโครงสร้างเงินทุนของธุรกิจพึ่งพา “หนี้” มากเกินไปหรือไม่

4.1) Debt-to-Equity Ratio (D/E Ratio) (อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น)

เป็น Ratio ยอดฮิตที่บอกว่า ธุรกิจมีหนี้สินเป็นกี่เท่าของเงินทุนของเจ้าของเอง

สูตร: D/E Ratio = หนี้สินรวม / ส่วนของผู้ถือหุ้น (ทุน)

  • ค่าที่ดี: โดยทั่วไป ไม่ควรเกิน 2 เท่า หรือบางธุรกิจอาจมองว่าไม่ควรเกิน 1.5 เท่า ถ้าสูงเกินไปแปลว่าธุรกิจมีความเสี่ยงสูง เพราะพึ่งพาเงินกู้ยืมมากเกินไป ถ้าเกิดปัญหาขึ้นมาอาจล้มได้ง่ายๆ

ตัวอย่างคาเฟ่ใจฟู: มีหนี้สินรวม (ทั้งระยะสั้นและยาว) 300,000 บาท และมีส่วนของเจ้าของ (เงินที่ลงไปตอนแรก+กำไรสะสม) 400,000 บาท
D/E Ratio = 300,000 / 400,000 = 0.75 เท่า
วิเคราะห์: ต่ำกว่า 1 เท่า! สบายใจได้เลย แสดงว่าคาเฟ่ใจฟูใช้เงินทุนของตัวเองเป็นหลัก มีการก่อหนี้น้อยมาก ความเสี่ยงทางการเงินต่ำมาก นี่คือ จุดแข็ง ที่แข็งแกร่งสุดๆ

สรุปการวิเคราะห์คาเฟ่ใจฟู:
จุดแข็ง: สภาพคล่องดีเยี่ยม (Current & Quick Ratio สูง), อัตรากำไรขั้นต้นสูงมาก, บริหารสต็อกเก่ง (Inventory Turnover สูง), และโครงสร้างหนี้สินแข็งแกร่ง (D/E Ratio ต่ำ)
จุดอ่อนที่อาจเป็นไปได้: อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) อาจจะยังไม่สูงเท่าที่ควร อาจต้องไปดูเรื่องการควบคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน เช่น ค่าการตลาด หรือค่าเช่าที่

Q&A ถาม-ตอบ คลายข้อสงสัยสไตล์เด็กยุคใหม่ที่อยากรู้เรื่องธุรกิจ

Q1: ต้องเรียนบัญชีหรือเก่งเลขมากๆ มั้ย ถึงจะทำ Ratio Analysis ได้?

A1: ไม่จำเป็นเลย! จริงๆ แล้วมันคือการบวก ลบ คูณ หารธรรมดาๆ นี่แหละ หัวใจสำคัญไม่ได้อยู่ที่การคำนวณ แต่อยู่ที่ “การตีความ” ว่าตัวเลขที่ได้มันบอกอะไรเราต่างหาก เหมือนเราอ่านผลตรวจเลือด ไม่ต้องรู้ว่าเครื่องตรวจทำงานยังไง แต่ต้องรู้ว่าค่านี้สูงแปลว่าอะไร ต่ำแปลว่าอะไร

Q2: เราจะไปหา “งบการเงิน” ของธุรกิจ SME ทั่วไปมาดูได้จากที่ไหน?

A2: สำหรับบริษัทที่เป็น “บริษัทจำกัด” ในประเทศไทย เราสามารถค้นหาและขอดูข้อมูลงบการเงินได้จากเว็บไซต์ของ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า (DBD) ครับ ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายเล็กน้อย แต่ถ้าเป็นกิจการของครอบครัวหรือร้านค้าเล็กๆ ที่เราอยากช่วยวิเคราะห์ เราก็ต้องขอข้อมูลจากเจ้าของโดยตรงเลย

Q3: Ratio ที่มีค่า “สูง” คือดีเสมอไปใช่มั้ย?

A3: ไม่เสมอไป! นี่คือคำถามที่ดีมาก เช่น Current Ratio ที่สูงเกินไป (เช่น 10 เท่า) อาจแปลว่าธุรกิจมีเงินสดมากเกินไปแต่ไม่ได้นำไปลงทุนให้เกิดประโยชน์ หรือ Inventory Turnover ที่สูงปรี๊ด อาจแปลว่าเราสั่งของน้อยไปจนของขาดสต็อก ทำให้เสียโอกาสในการขายก็ได้ ดังนั้น การวิเคราะห์ที่ดีที่สุดคือการ เปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมเดียวกัน และ เปรียบเทียบกับผลงานในอดีตของตัวเอง

Q4: ถ้าบ้านเราทำร้านขายของชำเล็กๆ จะเอาหลักการนี้ไปปรับใช้ได้ยังไง?

A4: ได้แน่นอนและดีมากๆ ด้วย! เราอาจจะไม่ต้องทำงบการเงินเต็มรูปแบบ แต่เราสามารถเริ่มจดบันทึกง่ายๆ ได้ เช่น: 1) จดว่ามีเงินสดเท่าไหร่ มีของในร้านมูลค่าเท่าไหร่ (สินทรัพย์หมุนเวียน) 2) จดว่าต้องจ่ายค่าของให้ยี่ปั๊วเท่าไหร่ (หนี้สินหมุนเวียน) 3) จดรายรับ-รายจ่ายทุกวันเพื่อหากำไร แล้วลองเอามาคำนวณ Ratio ง่ายๆ แค่นี้ก็จะช่วยให้เห็นภาพรวมของร้านได้ดีขึ้นเยอะเลย

Q5: วิเคราะห์จุดแข็งจุดอ่อนเจอแล้ว ต้องทำยังไงต่อ?

A5: สเต็ปต่อไปคือการ “วางแผนและลงมือทำ” ครับ! ถ้าเจอจุดแข็ง ก็ต้องคิดว่าจะรักษามันไว้และโปรโมตมันยังไง ถ้าเจอจุดอ่อน เช่น Net Profit Margin ต่ำ ก็ต้องไปเจาะลึกว่าค่าใช้จ่ายตัวไหนที่สูง แล้วหาทางลดมันลง การวิเคราะห์เป็นแค่จุดเริ่มต้น การลงมือแก้ไขและพัฒนาต่างหากที่จะทำให้ธุรกิจเติบโต

บทสรุป: ปลดล็อกพลังของตัวเลข

เห็นมั้ยว่า Ratio Analysis ไม่ใช่เรื่องไกลตัวหรือน่าเบื่อเลย มันคือทักษะที่ทรงพลังมากที่เปลี่ยนเราจากคนที่มองธุรกิจแค่เปลือกนอก เป็นคนที่เข้าใจกลไกภายในอย่างแท้จริง เหมือนเราได้ใส่แว่นตาพิเศษที่มองเห็นทั้งจุดแข็งที่ควรต่อยอด และจุดอ่อนที่ต้องรีบแก้ไข

สำหรับเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่กำลังเรียนอยู่ การฝึกใช้เครื่องมือนี้จะทำให้เราโดดเด่นและมีความเข้าใจเชิงลึกมากกว่าคนอื่น ไม่ว่าอนาคตจะไปทางไหน การอ่าน “สุขภาพธุรกิจ” ออก ถือเป็นสกิลติดตัวที่มีค่ามากๆ ลองเอาไปปรับใช้กับโปรเจกต์ในห้องเรียน หรือแม้แต่ช่วยดูกิจการเล็กๆ ของที่บ้าน รับรองว่าจะได้มุมมองใหม่ๆ ที่น่าทึ่งแน่นอน!

“`

Most Popular

Categories