การสื่อสารและการเล่าเรื่องข้อมูล (Data Storytelling): ทักษะลับสุดยอดของนักบัญชีรุ่นใหม่
สวัสดีน้องๆ ทุกคนครับ! พี่เป็นรุ่นพี่ที่เรียนอยู่คณะบัญชีฯ นะ วันนี้อยากจะมาชวนคุยเรื่องที่หลายคนอาจจะยังมองข้ามไป แต่พี่บอกเลยว่ามันคือ “Game Changer” ของวงการบัญชีในยุคนี้เลยจริงๆ นั่นก็คือเรื่องของ “การสื่อสารและการเล่าเรื่องข้อมูล” หรือที่เรียกเท่ๆ ว่า Data Storytelling ครับ
พอพูดถึง “นักบัญชี” ภาพในหัวของน้องๆ หลายคนคงเป็นคนใส่แว่นหนาๆ นั่งจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่เต็มไปด้วยตารางตัวเลขยุบยับ ไม่ค่อยพูดค่อยจา ทำงานกับเอกสารกองโต… ซึ่งพี่ขอบอกเลยว่า ภาพนั้นมัน โคตรจะเอาท์! ไปแล้วสำหรับโลกยุคปัจจุบัน
ใช่, ความแม่นยำเรื่องตัวเลขยังคงเป็นหัวใจสำคัญ แต่ในยุคที่ AI และซอฟต์แวร์เข้ามาช่วยจัดการงานรูทีน (Routine Task) ได้เกือบหมด บทบาทของนักบัญชีได้ถูกยกระดับขึ้นไปอีกขั้น เราไม่ได้เป็นแค่ “ผู้บันทึกตัวเลข” แต่เราคือ “นักยุทธศาสตร์ข้อมูล” ที่ต้องสามารถเปลี่ยนตัวเลขแห้งๆ เหล่านั้น ให้กลายเป็นเรื่องราวที่น่าสนใจและนำไปใช้ตัดสินใจทางธุรกิจได้จริง นี่แหละคือจุดที่ทักษะการสื่อสารและการเล่าเรื่องเข้ามามีบทบาทสำคัญสุดๆ
ทำไม “นักบัญชี” ยุคใหม่ ถึงต้องเป็น “นักเล่าเรื่อง”?
ลองนึกภาพตามนะ สมมติว่าเราเป็นนักบัญชีของบริษัทขายเสื้อผ้าแฟชั่นแห่งหนึ่ง แล้วเราพบข้อมูลว่า…
- ยอดขายเสื้อฮู้ดดี้สีดำในเดือนธันวาคมเพิ่มขึ้น 300%
- ยอดขายส่วนใหญ่มาจากช่องทาง TikTok Shop
- กลุ่มลูกค้าหลักที่ซื้อคือ Gen Z อายุ 15-22 ปี ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล
ถ้าน้องเป็นนักบัญชีแบบเดิมๆ น้องอาจจะแค่ทำรายงานเป็นตาราง Excel ส่งไปให้ฝ่ายการตลาดพร้อมอีเมลสั้นๆ ว่า “สรุปยอดขายเดือน ธ.ค.” … จบ
แต่ถ้าน้องเป็นนักบัญชีที่มีทักษะ Data Storytelling น้องจะเปลี่ยนข้อมูลดิบเหล่านี้ให้กลายเป็นเรื่องราวที่ทรงพลัง:
“พี่ๆ ฝ่ายการตลาดครับ จากข้อมูลการเงินที่เราวิเคราะห์มา เราค้นพบเทรนด์ที่น่าสนใจมากครับ! ในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา เสื้อฮู้ดดี้สีดำของเรากลายเป็นสินค้าฮีโร่ ยอดขายพุ่งขึ้นถึง 300% โดยเฉพาะในกลุ่มน้องๆ Gen Z ที่เห็นสินค้าเราจาก TikTok แล้วกดซื้อทันที ซึ่งนี่เป็นสัญญาณชัดเจนว่าแคมเปญที่เราทำกับ TikToker คนนั้นได้ผลดีเกินคาด และอาจจะเป็นโอกาสให้เราเพิ่มงบการตลาดในช่องทางนี้ เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าวัยรุ่นในหัวเมืองใหญ่ให้มากขึ้นในช่วงไตรมาสแรกของปีหน้าครับ”
เห็นความแตกต่างไหม? แบบที่สองไม่ใช่แค่การรายงานตัวเลข แต่มันคือการ “ตีความ”, “เชื่อมโยง” และ “นำเสนอ” ข้อมูลในรูปแบบของเรื่องเล่าที่เข้าใจง่าย เห็นภาพชัดเจน และที่สำคัญคือ ชี้ให้เห็นถึงโอกาสทางธุรกิจ นี่แหละคือคุณค่าที่นักบัญชีรุ่นใหม่ต้องสร้างให้ได้
แกะสูตร Data Storytelling: ไม่ใช่แค่พูดเก่ง แต่ต้องมีครบ 3 องค์ประกอบ
การเล่าเรื่องข้อมูลที่ดี ไม่ได้เกิดจากการมโนหรือพูดไปเรื่อยนะครับ แต่มันคือการผสมผสานของ 3 ส่วนสำคัญเข้าด้วยกันอย่างลงตัว
1. ข้อมูล (Data) – แก่นแท้แห่งความจริง
นี่คือจุดเริ่มต้นและเป็นสิ่งที่นักบัญชีอย่างเราแข็งแกร่งที่สุด มันคือตัวเลข, สถิติ, ข้อเท็จจริงที่เราเก็บรวบรวมมา ข้อมูลต้องถูกต้อง แม่นยำ และเชื่อถือได้ เพราะถ้าข้อมูลผิด เรื่องราวทั้งหมดที่เล่าไปก็จะพังทลายลงทันที ในขั้นตอนนี้ เราต้องรู้จักตั้งคำถามที่ถูกต้องกับข้อมูล เช่น “อะไรคือสิ่งผิดปกติในข้อมูลชุดนี้?”, “มีรูปแบบหรือแนวโน้มอะไรที่น่าสนใจซ่อนอยู่บ้าง?”
2. เรื่องเล่า (Narrative) – การร้อยเรียงที่ทรงพลัง
นี่คือส่วนของการ “ปรุงรส” ข้อมูลดิบๆ ให้อร่อยและย่อยง่าย เราต้องสร้างโครงเรื่อง (Context) ให้กับตัวเลขเหล่านั้น มันคือการตอบคำถามว่า “แล้วไงต่อ?” (So what?) ให้กับผู้ฟัง เราต้องอธิบายว่า…
- เกิดอะไรขึ้น (What happened?): ยอดขายตก / กำไรเพิ่ม / ต้นทุนสูงขึ้น
- ทำไมถึงเกิดขึ้น (Why did it happen?): เพราะมีคู่แข่งใหม่ / เพราะแคมเปญการตลาดสำเร็จ / เพราะราคาวัตถุดิบขึ้น
- จะเกิดอะไรต่อไป (What might happen next?): ถ้าไม่ทำอะไรเลย อาจจะขาดทุน / ควรจะลงทุนเพิ่มในช่องทางนี้ / ต้องหาซัพพลายเออร์รายใหม่
- เราควรทำอะไร (What should we do?): เสนอให้ลดงบส่วนที่ไม่จำเป็น / ขยายทีมการตลาด / เจรจาต่อรองราคากับคู่ค้า
การสร้าง Narrative คือการเปลี่ยนจาก “ผู้รายงาน” เป็น “ที่ปรึกษา” ที่ไว้ใจได้
3. การนำเสนอด้วยภาพ (Visualization) – ทำให้เห็นภาพ ไม่ใช่แค่ได้ยิน
สมองของมนุษย์ประมวลผลภาพได้เร็วกว่าข้อความหลายเท่า การแปลงตารางตัวเลขที่ซับซ้อนให้กลายเป็นกราฟ, แผนภูมิ, หรือ Dashboard ที่สวยงามและเข้าใจง่าย จะช่วยให้ผู้ฟัง “get” สิ่งที่เราจะสื่อได้ในทันที แทนที่จะโชว์ตาราง Excel ที่มีตัวเลข 50 แถว ลองเปลี่ยนเป็นกราฟเส้นที่แสดงแนวโน้มยอดขายที่พุ่งขึ้นอย่างชัดเจน หรือใช้แผนที่สีเพื่อแสดงว่าจังหวัดไหนมียอดขายสูงสุด มันทรงพลังกว่ากันเยอะมาก
เครื่องมือที่นิยมใช้กันในปัจจุบันก็มีหลากหลาย เช่น Microsoft Power BI, Tableau, Google Data Studio หรือแม้กระทั่งการใช้ฟังก์ชันสร้างกราฟใน Excel ให้สวยงามและสื่อความหมายก็ถือเป็นทักษะสำคัญเช่นกัน
แล้วเราจะสร้างทักษะเหล่านี้ได้ยังไง ตั้งแต่ตอนเรียนมัธยม?
ข่าวดีคือ น้องๆ ไม่ต้องรอให้เข้ามหาวิทยาลัยก็เริ่มฝึกฝนทักษะเหล่านี้ได้เลย และมันจะทำให้น้องๆ โดดเด่นกว่าเพื่อนรุ่นเดียวกันแน่นอน ลองเริ่มจากเรื่องง่ายๆ ใกล้ตัวดูสิ:
- รับหน้าที่พรีเซนต์งานกลุ่ม: เวลาทำงานกลุ่ม อย่ามัวแต่แย่งกันทำส่วนเนื้อหา ลองอาสาเป็นคนนำเสนอ ฝึกเรียบเรียงความคิดและพูดหน้าชั้นเรียนบ่อยๆ มันจะช่วยลดความประหม่าและทำให้เราสื่อสารได้ดีขึ้น
- หัดใช้โปรแกรมนำเสนอให้โปร: นอกเหนือจาก PowerPoint ลองหัดใช้เครื่องมืออื่นๆ เช่น Canva, Google Slides ที่มีเทมเพลตสวยๆ ฝึกการวาง Layout, การเลือกใช้สี, การเลือกใช้ Font ที่อ่านง่ายและน่าสนใจ
- สังเกตการนำเสนอเก่งๆ: ลองดูคลิป TED Talks หรือการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ของ Apple สังเกตว่าพวกเขาใช้เทคนิคการเล่าเรื่องยังไง ใช้ภาพอะไรประกอบ ทำไมมันถึงน่าสนใจและน่าติดตาม
- ฝึกอธิบายเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย: ลองเอาเรื่องที่เราเพิ่งเรียนมา เช่น สูตรคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อน หรือหลักการทางวิทยาศาสตร์ ลองพยายามอธิบายให้เพื่อนที่ไม่เข้าใจ หรืออธิบายให้พ่อแม่ฟังโดยใช้ภาษาธรรมดาๆ ที่ไม่มีศัพท์เทคนิค นี่คือการฝึก Data Storytelling ในชีวิตประจำวันชั้นดีเลย
- เข้าร่วมกิจกรรม/ชมรม: ชมรมโต้วาที, ชมรม Debate, หรือกิจกรรมค่ายผู้นำต่างๆ เป็นพื้นที่ที่ยอดเยี่ยมในการฝึกทักษะการคิดวิเคราะห์, การเรียบเรียงประเด็น และการพูดในที่สาธารณะ
สรุป: นักบัญชีรุ่นใหม่ คือศิลปินผู้ใช้ข้อมูลเป็นพู่กัน
โลกของการบัญชีกำลังเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว และมันน่าตื่นเต้นกว่าที่เคยเป็นมา การเป็นนักบัญชีที่ประสบความสำเร็จในวันนี้และอนาคต ไม่ได้วัดกันแค่ว่าใครลงบัญชีได้แม่นยำที่สุด แต่วัดกันที่ว่า ใครสามารถเปลี่ยนข้อมูลให้เป็น “ปัญญา” (Insight) และสื่อสาร “ปัญญา” นั้นออกมาเพื่อขับเคลื่อนองค์กรไปข้างหน้าได้ดีที่สุด
ทักษะการสื่อสารและการเล่าเรื่องข้อมูล (Data Storytelling) จึงไม่ใช่แค่ “ทักษะเสริม” อีกต่อไป แต่มันคือ “ทักษะหลัก” ที่จะทำให้น้องๆ แตกต่างและเป็นที่ต้องการของทุกองค์กร ดังนั้น ใครที่กำลังสนใจสายอาชีพนี้ หรือกำลังเรียนอยู่ อย่ามองข้ามการพัฒนาทักษะด้าน Soft Skills เหล่านี้เด็ดขาดนะครับ เริ่มฝึกฝนตั้งแต่วันนี้ แล้วน้องๆ จะกลายเป็นนักบัญชีที่ไม่ได้มีดีแค่ตัวเลข แต่เป็นนักยุทธศาสตร์ที่ใครๆ ก็อยากร่วมงานด้วยแน่นอนครับ!
Q&A: คำถามที่พบบ่อยจากน้องๆ ที่สนใจสายบัญชี
Q1: เรียนบัญชีต้องเก่งคณิตศาสตร์อย่างเดียวใช่ไหมครับ/คะ?
A: ไม่จริงเสมอไปครับ! คณิตศาสตร์ที่ใช้ในบัญชีส่วนใหญ่เป็นแค่บวก ลบ คูณ หาร ที่สำคัญกว่าคือ “ตรรกะ” และ “ความละเอียดรอบคอบ” แต่ในยุคนี้ ทักษะการสื่อสาร, การวิเคราะห์, การแก้ปัญหา และความสามารถในการใช้เทคโนโลยี กลับมีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อนำข้อมูลตัวเลขไปต่อยอดครับ
Q2: Data Storytelling ใช้โปรแกรมอะไรทำบ้าง? ต้องเขียนโค้ดเป็นไหม?
A: สำหรับการทำ Visualization เครื่องมือยอดนิยมคือ Power BI และ Tableau ซึ่งเป็นโปรแกรมแบบ Low-code/No-code คือใช้การลากและวาง (Drag-and-Drop) เป็นหลัก ไม่จำเป็นต้องเขียนโค้ดเก่งก็สามารถสร้าง Dashboard สวยๆ ได้ครับ แค่เราต้องเข้าใจหลักการออกแบบและเข้าใจข้อมูลของเราก็พอ ส่วนการนำเสนอก็ใช้ PowerPoint หรือ Canva ได้เลย
Q3: ถ้าเป็นคนพูดไม่เก่ง ขี้อาย จะเป็นนักบัญชีที่เก่งด้านการสื่อสารได้ไหม?
A: ได้แน่นอนครับ! “การสื่อสาร” ไม่ได้หมายถึงการพูดในที่สาธารณะเก่งอย่างเดียว แต่ยังรวมถึง “การเขียน” ที่ชัดเจนและกระชับด้วย การเขียนอีเมลสรุปประเด็นสำคัญ, การทำรายงานที่อ่านเข้าใจง่าย ก็เป็นการสื่อสารที่ทรงพลังมากเช่นกัน เราสามารถเลือกพัฒนาในช่องทางที่เราถนัดก่อนได้ และการพูดหน้าห้องบ่อยๆ จะช่วยสร้างความมั่นใจให้เราได้เองครับ มันเป็นทักษะที่ฝึกฝนกันได้
Q4: ทักษะการสื่อสารจะช่วยให้หางานได้ง่ายขึ้น หรือได้เงินเดือนสูงขึ้นจริงเหรอ?
A: จริงมากๆ ครับ ในตำแหน่งงานบัญชีระดับเริ่มต้นอาจจะยังไม่เห็นความต่างมากนัก แต่เมื่อไหร่ที่เราต้องการเติบโตไปสู่ระดับ Senior, Manager หรือระดับผู้บริหาร (เช่น CFO) ทักษะการสื่อสารและการนำเสนอข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจจะกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่สุด คนที่สามารถเปลี่ยนข้อมูลการเงินที่ซับซ้อนให้ผู้บริหารที่ไม่ใช่สายบัญชีเข้าใจได้ง่าย จะมีมูลค่าในองค์กรสูงกว่ามาก และแน่นอนว่ามันสะท้อนมาในรูปแบบของตำแหน่งและค่าตอบแทนครับ
“`