5 Soft Skills นักบัญชียุคใหม่ที่ AI ยังแทนไม่ได้

5 Soft Skills นักบัญชียุคใหม่ ที่ AI ยังต้องชิดซ้าย!

สวัสดีเพื่อนๆ น้องๆ ทุกคนครับ! ในฐานะรุ่นพี่ที่คลุกคลีอยู่กับตัวเลขและตารางเอ็กเซลมาพอสมควร วันนี้อยากจะมาคุยเรื่องที่กำลังเป็นประเด็นร้อนในทุกวงการ โดยเฉพาะกับพวกเราที่เล็งๆ คณะบัญชี หรือกำลังจะก้าวเข้าสู่โลกของการทำงาน นั่นก็คือ… “AI จะมาแย่งงานนักบัญชีรึเปล่า?”

บอกตรงๆ เลยนะ… คำตอบคือ “ใช่ และ ไม่ใช่”

ใช่… ในส่วนของงาน Routine ซ้ำๆ เดิมๆ เช่น การคีย์ข้อมูล, การกระทบยอดบัญชีเบื้องต้น หรือการคำนวณภาษีง่ายๆ AI และโปรแกรมบัญชีสมัยใหม่ทำได้ดีกว่า เร็วกว่า และแม่นยำกว่าคนเราเยอะมาก! แต่นั่นไม่ใช่ทั้งหมดของ “งานบัญชี” นะ

และ ไม่ใช่… เพราะหัวใจของงานบัญชีจริงๆ มันลึกซึ้งกว่านั้น มันคือการวิเคราะห์ การตีความ การวางแผน และการสื่อสาร ซึ่งทั้งหมดนี้แหละคือพื้นที่ของ “Soft Skills” หรือทักษะด้านอารมณ์และสังคม ที่ AI เก่งแค่ไหนก็ยังเลียนแบบความเป็นมนุษย์ของเราไม่ได้!

บทความนี้จะพาทุกคนไปเจาะลึก 5 Soft Skills สุดเทพของนักบัญชียุคใหม่ ที่จะทำให้เราไม่ใช่แค่ “คนทำบัญชี” แต่เป็น “ที่ปรึกษาทางการเงินคู่ใจ” ที่ทุกบริษัทในประเทศไทยต้องการตัว จน AI ต้องยอมแพ้! ไปดูกันเลย!

1. การคิดเชิงวิพากษ์และการแก้ปัญหาที่ซับซ้อน (Critical Thinking & Complex Problem-Solving)

ลืมภาพนักบัญชีที่นั่งก้มหน้าก้มตากรอกตัวเลขไปได้เลย! นักบัญชียุคใหม่คือ “นักสืบทางการเงิน” ขององค์กร

AI สามารถประมวลผลข้อมูลมหาศาล (Big Data) และบอกเราได้ว่า ‘เกิดอะไรขึ้น’ (What happened?) เช่น “ไตรมาสนี้ยอดขายตก 15%” แต่มันตอบไม่ได้ว่า ‘ทำไมถึงเกิดขึ้น’ (Why it happened?) และ ‘เราควรทำยังไงต่อไป’ (What should we do next?)

นี่แหละคือหน้าที่ของเรา! เราต้องมองทะลุตัวเลขแล้วตั้งคำถามว่า:

  • ยอดขายที่ตกลงไป มันมาจากสาขาไหนเป็นพิเศษ? หรือมาจากสินค้าตัวไหน?
  • เป็นเพราะคู่แข่งออกโปรโมชั่นใหม่รึเปล่า? หรือเป็นเพราะต้นทุนวัตถุดิบของเราสูงขึ้น?
  • ตัวเลขค่าใช้จ่ายด้านการตลาดที่เพิ่มขึ้น มันสอดคล้องกับยอดขายที่ควรจะเพิ่มขึ้นไหม? หรือเรากำลังตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ?

การเชื่อมโยงข้อมูลจากหลายๆ แหล่ง, การมองเห็นความผิดปกติ, และการเสนอทางแก้ปัญหาที่ซับซ้อน เช่น การปรับโครงสร้างต้นทุน หรือการแนะนำให้ลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ๆ นี่คือสิ่งที่ต้องใช้ทั้งประสบการณ์ ความเข้าใจในธุรกิจ และ “สัญชาตญาณ” ซึ่ง AI ยังไม่มี

💡 ฝึกสกิลนี้ยังไงดี?

ฝึกตั้งคำถาม “ทำไม?” กับทุกเรื่อง: เวลาอ่านข่าวเศรษฐกิจ ลองถามตัวเองว่า “ทำไมค่าเงินบาทถึงแข็งค่า?” “ทำไมบริษัทนี้ถึงตัดสินใจควบรวมกิจการ?” ลองหาข้อมูลและพยายามปะติดปะต่อเรื่องราวด้วยตัวเอง ไม่ใช่แค่รับข้อมูลมาเฉยๆ ตอนทำโปรเจกต์กลุ่ม ก็ลองเป็นคนตั้งคำถามกับแผนงานของเพื่อนๆ ดู (แบบสร้างสรรค์นะ!) ว่า “ทำไมเราถึงเลือกวิธีนี้ มีวิธีอื่นที่ดีกว่าไหม?”

2. ทักษะการสื่อสารและการเล่าเรื่องด้วยข้อมูล (Communication & Storytelling with Data)

ถ้าสกิลแรกคือการเป็นนักสืบ สกิลนี้ก็คือการเป็น “นักเล่าเรื่องมือฉมัง” ครับ

AI อาจจะสร้างกราฟแท่ง กราฟวงกลมสวยๆ หรือแดชบอร์ดที่เต็มไปด้วยตัวเลขได้ แต่ AI ไม่สามารถยืนพรีเซนต์ในห้องประชุม แล้วทำให้ CEO, ฝ่ายการตลาด, หรือฝ่ายบุคคลที่ไม่ได้มีพื้นฐานบัญชี เข้าใจได้ว่าตัวเลขพวกนั้นมันกำลัง “บอก” อะไรเราอยู่

หน้าที่ของนักบัญชียุคใหม่คือการ “แปลภาษาตัวเลขให้เป็นภาษาคน” เราต้องสามารถหยิบข้อมูลงบการเงินที่แสนจะน่าเบื่อ มาเล่าเป็นเรื่องราวที่น่าติดตามและเข้าใจง่าย เช่น:

  • แทนที่จะบอกว่า: “อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) ของเราอยู่ที่ 2.5”
  • ลองเล่าเรื่องว่า: “ตอนนี้สถานะการเงินของบริษัทเราเหมือนกับคนที่ผ่อนบ้านผ่อนรถอยู่เยอะหน่อยครับ ทำให้เรามีความเสี่ยงสูงถ้าเกิดเหตุฉุกเฉิน เราอาจจะต้องพิจารณาชะลอการลงทุนใหญ่ๆ ไปก่อน เพื่อให้สถานะเราแข็งแรงขึ้นครับ”

เห็นมั้ยครับ? มันไม่ใช่แค่การรายงานตัวเลข แต่คือการให้ความหมาย (Context) และเสนอแนะแนวทาง (Actionable Insight) ซึ่งต้องใช้ทักษะการสื่อสาร การเลือกใช้คำ และการเข้าใจผู้ฟังอย่างลึกซึ้ง

💡 ฝึกสกิลนี้ยังไงดี?

ฝึกพรีเซนต์บ่อยๆ: ไม่ต้องรอให้ถึงเวลาพรีเซนต์หน้าห้องอย่างเดียว ลองจับกลุ่มกับเพื่อน แล้วผลัดกันอธิบายเรื่องยากๆ ให้เพื่อนฟัง เช่น สรุปข่าวที่เพิ่งอ่านมา หรืออธิบายการบ้านคณิตข้อที่ซับซ้อนที่สุดให้เพื่อนเข้าใจให้ได้ใน 3 นาที ลองใช้โปรแกรมอย่าง Canva หรือ PowerPoint ทำสไลด์สรุปเรื่องที่เรียนมาเป็นภาพ Infographic สวยๆ ดูสิ

3. ความฉลาดทางอารมณ์และการทำงานร่วมกับผู้อื่น (Emotional Intelligence & Collaboration)

AI มี IQ (Intelligence Quotient) ที่สูงมาก แต่มี EQ (Emotional Quotient) เป็นศูนย์! และนี่คือจุดแข็งที่สุดของมนุษย์เรา

งานบัญชีไม่ได้ทำคนเดียวจบหลังคอมพิวเตอร์ เราต้องทำงานร่วมกับคนจากร้อยพ่อพันแม่ ทั้งในและนอกองค์กร:

  • ประสานงานกับฝ่ายขาย: เพื่อทำความเข้าใจเรื่องเป้าหมายและค่าคอมมิชชั่น
  • เจรจากับฝ่ายจัดซื้อ: เพื่อหาทางลดต้นทุนให้ได้มากที่สุด
  • ให้คำปรึกษากับผู้บริหาร: ที่อาจจะกำลังเครียดกับผลประกอบการ
  • ดีลกับลูกค้าที่จ่ายเงินช้า: จะทวงยังไงให้ได้เงินแต่ไม่เสียลูกค้า?
  • รับมือกับเจ้าหน้าที่สรรพากร: ที่มาตรวจสอบบัญชีบริษัท

สถานการณ์เหล่านี้ต้องใช้ความฉลาดทางอารมณ์ขั้นสูง ทั้งการเอาใจเขามาใส่ใจเรา (Empathy), การควบคุมอารมณ์ตัวเอง, การสร้างสัมพันธ์ที่ดี, และการเจรจาต่อรอง AI ไม่สามารถเข้าใจความรู้สึกกดดันของเพื่อนร่วมงาน หรืออ่านภาษากายของลูกค้าเพื่อหาทางประนีประนอมที่ดีที่สุดได้

💡 ฝึกสกิลนี้ยังไงดี?

ทำงานกลุ่มให้เต็มที่!: เวลาทำงานกลุ่ม อย่าแค่แบ่งงานแล้วต่างคนต่างทำ ลองเป็นคนกลางคอยประสานงาน รับฟังปัญหาของเพื่อนแต่ละคน แล้วหาทางออกร่วมกัน ฝึกสังเกตอารมณ์และสีหน้าของคนที่เราคุยด้วย ลองเป็นอาสาสมัคร หรือเข้าร่วมกิจกรรมชมรมต่างๆ จะทำให้เราได้เจอคนหลากหลายและได้ฝึกทักษะการเข้าสังคมไปในตัว

4. ความคิดสร้างสรรค์และการคิดเชิงกลยุทธ์ (Creativity & Strategic Thinking)

ใครว่านักบัญชีต้องอยู่ในกรอบและน่าเบื่อ? ไม่จริงเลย! ในโลกธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ความคิดสร้างสรรค์กลายเป็นทักษะที่สำคัญอย่างไม่น่าเชื่อ

AI ทำงานตาม ‘กฎ’ และ ‘รูปแบบ’ ที่เราป้อนให้ มันวิเคราะห์ข้อมูลในอดีตเพื่อคาดการณ์อนาคตได้ดี แต่มัน ‘สร้าง’ สิ่งใหม่ที่ไม่มีอยู่ในข้อมูลไม่ได้

นักบัญชีที่มีความคิดสร้างสรรค์ จะสามารถ:

  • ออกแบบระบบบัญชีใหม่ๆ: ที่ช่วยให้บริษัททำงานได้เร็วขึ้นและลดขั้นตอนที่ไม่จำเป็น
  • หาช่องทางการลดหย่อนภาษีแบบใหม่ๆ: ที่ถูกต้องตามกฎหมายแต่คนอื่นอาจมองข้ามไป
  • วางแผนโครงสร้างทางการเงินสำหรับโปรเจกต์ใหม่: ที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อนในบริษัท
  • มองเห็นโอกาสทางธุรกิจจากตัวเลข: เช่น “เอ๊ะ! ตัวเลขค่าใช้จ่ายในการเดินทางของเซลล์ภาคอีสานสูงผิดปกติ เราควรไปเปิดสาขาที่นั่นเลยดีไหม?”

นี่คือการคิดนอกกรอบ การมองไปข้างหน้าแบบมีกลยุทธ์ และการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับองค์กร ไม่ใช่แค่การบันทึกบัญชีตามที่มันเกิดขึ้น (Historical Data) แต่คือการร่วม ‘ออกแบบอนาคต’ ของบริษัท

💡 ฝึกสกิลนี้ยังไงดี?

เล่นเกมวางแผน!: เกมอย่าง SimCity, Civilization หรือแม้แต่เกมแนววางแผนการเงินต่างๆ ช่วยฝึกสมองส่วนกลยุทธ์ได้ดีมาก ลองเข้าร่วมกิจกรรมประกวดแผนธุรกิจของมหาวิทยาลัย หรือลองคิดเล่นๆ ว่า ถ้าเรามีเงินหนึ่งล้านบาท เราจะเอาไปลงทุนทำอะไรให้งอกเงยที่สุด? เขียนแผนออกมาเป็นข้อๆ เลย

5. ความสามารถในการปรับตัวและการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Adaptability & Lifelong Learning)

ทักษะสุดท้ายนี้สำคัญที่สุด และเป็นสิ่งที่ทำให้มนุษย์เราอยู่รอดมาได้ทุกยุคทุกสมัย

โลกทุกวันนี้เปลี่ยนเร็วมาก กฎหมายภาษีมีการอัปเดตทุกปี, มีโปรแกรมบัญชีใหม่ๆ เกิดขึ้นตลอดเวลา, รูปแบบธุรกิจเปลี่ยนจากออฟไลน์ไปออนไลน์, ไหนจะมีเรื่อง Cryptocurrency, NFT, Carbon Credit ที่เริ่มเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเงินและบัญชีมากขึ้นเรื่อยๆ

AI อาจจะเรียนรู้ข้อมูลใหม่ๆ ได้เร็ว แต่มันทำตามคำสั่งเท่านั้น มันไม่มี “ความกระหายใคร่รู้” (Curiosity) หรือ “ความตั้งใจที่จะพัฒนาตัวเอง” (Intentional Self-improvement)

นักบัญชีที่ประสบความสำเร็จในอนาคต คือคนที่ไม่เคยหยุดเรียนรู้ คนที่มองว่า AI และเทคโนโลยีใหม่ๆ ไม่ใช่ “ศัตรู” แต่เป็น “เครื่องมือ” ที่ทรงพลังที่สุดที่จะช่วยให้เราทำงานได้ดีขึ้น เร็วขึ้น และมีเวลาไปโฟกัสกับงานที่ต้องใช้สมองและหัวใจอย่าง 4 ข้อข้างบนมากขึ้น

เราต้องพร้อมที่จะเรียนรู้การใช้โปรแกรมใหม่ๆ, ศึกษามาตรฐานการบัญชีที่เปลี่ยนไป, ทำความเข้าใจในธุรกิจใหม่ๆ ที่บริษัทกำลังจะเข้าไปลงทุน นี่คือทัศนคติของ Lifelong Learner ที่จะทำให้เรามีคุณค่าในตลาดแรงงานไทยและตลาดโลกเสมอ

💡 ฝึกสกิลนี้ยังไงดี?

เปิดใจลองของใหม่: ลองใช้แอปพลิเคชันใหม่ๆ ที่ไม่เคยใช้, ลองเรียนคอร์สออนไลน์ฟรีในเรื่องที่เราไม่เคยรู้มาก่อน (ไม่จำเป็นต้องเกี่ยวกับบัญชีก็ได้ เช่น การตลาดดิจิทัล, การเขียนโค้ดเบื้องต้น) การทำแบบนี้จะทำให้สมองเราคุ้นชินกับการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และไม่กลัวการเปลี่ยนแปลง

Q&A ถาม-ตอบ ข้อสงสัยสำหรับว่าที่นักบัญชียุคใหม่

รวบรวมคำถามที่เชื่อว่าน้องๆ หลายคนน่าจะสงสัยกันอยู่ มาตอบให้เคลียร์ๆ ตรงนี้เลย!

Q1: สรุปแล้ว AI จะมาแทนที่นักบัญชีทั้งหมดเลยมั้ยครับ/คะ?

A: ไม่ทั้งหมดแน่นอนครับ! AI จะเข้ามาแทนที่งาน “เสมียนบัญชี” (Bookkeeper) หรืองานคีย์ข้อมูลซ้ำๆ เดิมๆ แต่จะยิ่งทำให้ตำแหน่ง “นักบัญชี” (Accountant) ที่ทำหน้าที่วิเคราะห์ วางแผน และให้คำปรึกษา มีความสำคัญและมีมูลค่ามากยิ่งขึ้นไปอีก เหมือนมีผู้ช่วยสุดเทพมาแบ่งเบาภาระ ทำให้เรามีเวลาไปทำงานที่ยากและท้าทายกว่าเดิมได้ครับ

Q2: ถ้าไม่เก่งคณิตศาสตร์แบบสุดๆ จะเรียนบัญชีได้มั้ย?

A: เป็นคำถามยอดฮิตเลย! คำตอบคือ “ได้แน่นอน” ครับ งานบัญชีสมัยนี้ใช้การบวก ลบ คูณ หาร เป็นหลัก ซึ่งโปรแกรมคอมพิวเตอร์จัดการให้เราหมดแล้ว สิ่งที่สำคัญกว่าคือ “Logic” หรือความสามารถในการคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผล และความเข้าใจในหลักการของมันมากกว่า ถ้าเราเข้าใจว่า “เดบิต” กับ “เครดิต” คืออะไร และมันทำงานยังไง ก็สบายแล้วครับ ไม่ต้องถึงขั้นถอดสมการแคลคูลัสได้ก็เรียนได้สบายๆ

Q3: เรียนจบบัญชีแล้วยังหางานง่ายเหมือนเดิมรึเปล่าในยุคนี้?

A: ขอยืนยันว่า “ง่ายมาก” ครับ ตราบใดที่โลกนี้ยังมี “ธุรกิจ” และ “เงิน” อาชีพบัญชีก็ไม่มีวันตายครับ ทุกบริษัทไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ในประเทศไทย ล้วนต้องมีคนทำบัญชีและจัดการเรื่องการเงิน ดังนั้นบัณฑิตบัญชียังคงเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานสูงเสมอ แต่บริษัทจะมองหาคนที่ทำได้มากกว่าการบันทึกบัญชี ซึ่งก็คือคนที่มี Soft Skills 5 อย่างที่เราคุยกันไปนั่นเองครับ

Q4: นอกจาก Soft Skills 5 อย่างนี้แล้ว มีทักษะด้านเทคนิค (Hard Skills) อะไรที่ควรเรียนรู้เพิ่มเติมบ้าง?

A: เยี่ยมมากที่เป็นคนมองไปข้างหน้า! นอกจากความรู้พื้นฐานบัญชีแล้ว Hard Skills ที่จะทำให้โปรไฟล์เราโดดเด่นมากคือ:

  • Microsoft Excel ขั้นสูง: โดยเฉพาะ PivotTables และ Power Query
  • โปรแกรมบัญชีสำเร็จรูป: เช่น Express, SAP, Oracle (ถ้ามีโอกาสได้เรียนรู้)
  • เครื่องมือ Data Visualization: เช่น Power BI หรือ Tableau เพื่อทำแดชบอร์ดสวยๆ
  • ความรู้ด้านภาษาอังกฤษ: สำคัญมากสำหรับบริษัทต่างชาติและโอกาสเติบโตในอนาคต

บทสรุป: ไม่ต้องกลัว AI แต่จงใช้ AI เป็นเครื่องมือ

สุดท้ายนี้ อยากจะบอกน้องๆ ทุกคนว่า ไม่ต้องกลัวเทคโนโลยีที่กำลังเปลี่ยนแปลงโลกครับ แต่อยากให้มองว่ามันคือโอกาสที่เราจะได้อัปเกรดตัวเองจาก “นักบัญชี” แบบเดิมๆ ไปสู่การเป็น “นักกลยุทธ์ทางการเงิน” (Financial Strategist)

AI อาจจะคำนวณเก่งกว่าเรา แต่ AI ไม่มีความฝัน, ไม่มีความเข้าอกเข้าใจ, ไม่มีจริยธรรม, และไม่มีความคิดสร้างสรรค์ที่จะพาธุรกิจให้ก้าวข้ามอุปสรรคได้ ซึ่งทั้งหมดนี้คือคุณค่าที่แท้จริงของ “มนุษย์”

เริ่มฝึกฝน 5 Soft Skills นี้ตั้งแต่วันนี้ ไม่ว่าจะจากการเรียนในห้อง, การทำกิจกรรม, หรือการใช้ชีวิตประจำวัน แล้วอนาคตในสายอาชีพบัญชีที่สดใส จะรอต้อนรับทุกคนอยู่อย่างแน่นอนครับ!

สู้ๆ นะ ว่าที่นักบัญชีมือโปรทุกคน!

“`

Most Popular

Categories