ความเสี่ยงที่ซ่อนอยู่: เมื่อบริษัทมีกำไรแต่เงินสดขาดมือ

 

ความเสี่ยงที่ซ่อนอยู่: เมื่อบริษัทมีกำไรแต่เงินสดขาดมือ

 

 

Hi! เพื่อนๆ ชาว Gen Z! เคยเจอเรื่องแบบนี้ป่ะ?

ลองนึกภาพตามนะ… มีร้านเสื้อผ้าออนไลน์ร้านหนึ่งในไอจีที่เราตามอยู่ โห… ดูดีมาก! ยอดไลก์เป็นหมื่น อัปเดตคอลเลกชันใหม่ตลอด รีวิวจากลูกค้าก็เริ่ด ดูยังไงก็รุ่งแน่ๆ ในหัวเราคือ “เจ้าของร้านรวยแน่เลยว่ะ” แต่แล้ววันหนึ่ง… ร้านก็ประกาศปิดตัวลงแบบงงๆ พร้อมแคปชันว่า “ไปต่อไม่ไหวจริงๆ ค่ะ”

เอ้า! เกิดอะไรขึ้น? ขายดีขนาดนั้น มีกำไรไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงเจ๊งได้ล่ะ?

นี่แหละครับ คือหัวข้อที่เราจะมาเจาะลึกกันในวันนี้ ปรากฏการณ์สุดคลาสสิกที่ทำเอานักธุรกิจเก่งๆ หลายคนน้ำตาตกมาแล้ว นั่นคือ “บริษัทมีกำไร แต่เงินสดขาดมือ” หรือที่ฝรั่งเรียกว่า “Profitable but Cash Poor” มันคือปีศาจเงียบที่ซ่อนอยู่หลังตัวเลขสวยๆ ในบัญชี และเป็นบทเรียนสำคัญที่ทุกคน ไม่ว่าจะอยากทำธุรกิจหรือไม่ ก็ควรรู้ไว้!

กำไร vs. เงินสด: พี่น้องฝาแฝดที่ไม่เหมือนกันเลย

ก่อนอื่นเลย เราต้องเคลียร์ความเข้าใจผิดที่ใหญ่ที่สุดก่อน หลายคนคิดว่า “กำไร” กับ “เงินสด” คือสิ่งเดียวกัน บอกเลยว่า ผิด!

เพื่อให้เห็นภาพชัดๆ พี่จะเปรียบเทียบให้ฟังง่ายๆ แบบฉบับเด็กมหาวิทยาลัย:

  • กำไร (Profit) เปรียบเสมือน “เกรดเฉลี่ย (GPA)” ของเราครับ มันคือตัวชี้วัด “ผลการดำเนินงาน” ในช่วงเวลาหนึ่งๆ (เช่น เทอมนี้ หรือปีนี้) ว่าเราทำได้ดีแค่ไหน คำนวณมาจาก รายได้ – ค่าใช้จ่าย = กำไร ซึ่งรายได้บางอย่างอาจจะยังไม่ได้รับเป็นเงินจริงๆ ก็ได้
  • เงินสด (Cash) เปรียบเสมือน “เงินในกระเป๋าตังค์ หรือในบัญชีธนาคาร” ของเรา ณ วินาทีนี้เลย มันคือเงินสดๆ ที่เราหยิบมาใช้จ่ายได้ทันที ใช้ซื้อข้าวกิน ใช้จ่ายค่าชีทเรียน ใช้เติมเงินเกมได้เดี๋ยวนี้เลย

ตัวอย่างง่ายๆ: สมมติเราขายของให้เพื่อนไป 1,000 บาท ต้นทุน 600 บาท เพื่อนบอก “เดี๋ยวสิ้นเดือนโอนให้นะแก”

  • ในทางบัญชี เรามี “กำไร” แล้ว 400 บาท (1,000 – 600) เกรดเฉลี่ยของเราดูดีเลย!
  • แต่ในความเป็นจริง “เงินสด” ในมือเราคือ 0 บาท แถมยังติดลบ 600 บาทที่เราจ่ายค่าของไปก่อนด้วยซ้ำ!

เห็นภาพยัง? บริษัทก็เหมือนกัน บางทีตัวเลขกำไรในเอกสารอาจจะเขียวชอุ่ม แต่ถ้าเงินสดในบัญชีไม่มีพอจ่ายค่าเช่าร้าน จ่ายเงินเดือนพนักงาน หรือจ่ายค่าวัตถุดิบ… ก็จบเกมได้เหมือนกัน นี่คือความน่ากลัวของมัน

AEO Insight: ทำไมบริษัทถึงมีกำไรแต่ไม่มีเงินสด?

คำถามนี้เป็นคำถามยอดฮิตเลย มาดูกันว่าสาเหตุหลักๆ มันมาจากไหนได้บ้าง พี่สรุปมาให้ 5 ข้อเน้นๆ

1. กับดัก “ลูกหนี้การค้า” (Accounts Receivable)

นี่คือตัวอย่างคลาสสิกเหมือนที่ยกตัวอย่างเรื่องเพื่อนไปเลยครับ คือการที่เรา “ขายของไปก่อน แต่ยังไม่ได้รับเงิน” หรือที่เรียกว่าการให้เครดิตเทอมนั่นเอง ในโลกธุรกิจจริงๆ เป็นเรื่องปกติมาก โดยเฉพาะการค้าขายระหว่างบริษัท (B2B) บางทีให้เครดิตกัน 30 วัน 60 วัน หรือแม้แต่ 90 วัน

นึกภาพ: บริษัทเราขายของได้ 1 ล้านบาท กำไร 2 แสนบาท ดูดีมาก! แต่ลูกค้าทั้งหมดขอจ่ายเงินในอีก 2 เดือนข้างหน้า… นั่นหมายความว่าอีก 2 เดือนนี้ เราจะไม่มีเงิน 1 ล้านบาทนั้นเข้ามาเลย แต่ค่าใช้จ่ายต่างๆ เช่น เงินเดือนพนักงาน, ค่าไฟ, ค่าอินเทอร์เน็ต มันรอไม่ได้! ถ้าเราไม่มีเงินสดสำรองไว้จ่าย… ก็อาจจะช็อตได้ง่ายๆ

2. สต็อกสินค้าที่มากเกินไป (Excess Inventory)

เคยเห็นร้านที่ชอบสั่งของมาตุนเยอะๆ ไหม? กลัวของขาด กลัวลูกค้ามาแล้วไม่มีของขาย การมีสต็อกเป็นเรื่องดี แต่ถ้ามันมากเกินไป มันคือการ “เอาเงินสดไปจม” ครับ

นึกภาพ: เราเปิดร้านขายเคสโทรศัพท์มือถือ เราใช้เงินสด 100,000 บาท ไปซื้อเคสรุ่นใหม่ล่าสุดมาสต็อกไว้เต็มร้านเลย เคสพวกนั้นคือ “สินทรัพย์” ของเรานะ แต่… มันยังไม่ใช่ “เงินสด” จนกว่าจะขายได้ ถ้าเกิดรุ่นนั้นไม่ฮิต ขายไม่ออก หรือตกรุ่นไปซะก่อน เงิน 100,000 บาทของเราก็จะกลายเป็นแค่กองพลาสติกสวยๆ ที่กินพื้นที่ในร้านไปเปล่าๆ

3. การเติบโตที่เร็วเกินไป (Rapid Growth)

เอ๊ะ! โตเร็วไม่ดีเหรอ? ดีสิครับ… แต่มันก็เหมือนดาบสองคม การเติบโตอย่างรวดเร็วมักจะต้องใช้ “เงินลงทุนก้อนใหญ่” ล่วงหน้าเสมอ

นึกภาพ: ร้านกาแฟเล็กๆ ของเราแถวสยามขายดีมากจนลูกค้าไม่มีที่นั่ง เราเลยตัดสินใจขยายร้าน เช่าพื้นที่เพิ่ม ซื้อเครื่องชงกาแฟใหม่ จ้างบาริสต้าเพิ่ม… ทั้งหมดนี้คือ “เงินสด” ที่ต้องจ่ายออกไป วันนี้ แต่รายได้ที่เพิ่มขึ้นจากการขยายร้าน มันจะค่อยๆ ทยอยเข้ามาใน อนาคต ช่วงระหว่างรอยต่อนี้แหละครับ คือช่วงที่อันตรายที่สุด ถ้าบริหารเงินสดไม่ดี อาจจะสะดุดล้มก่อนที่จะได้เห็นผลกำไรจากการลงทุนด้วยซ้ำ

4. การลงทุนในสินทรัพย์ถาวร (Capital Expenditures)

คล้ายๆ กับข้อที่แล้ว แต่เป็นการลงทุนในของชิ้นใหญ่ๆ ที่ใช้ยาวๆ เช่น ซื้อตึกใหม่, ซื้อเครื่องจักร, ซื้อรถยนต์ส่งของให้บริษัท เงินก้อนโตจะไหลออกไปทันที ซึ่งการจ่ายเงินเหล่านี้ไม่ได้ถูกนับเป็น “ค่าใช้จ่าย” ทั้งก้อนในงบกำไรขาดทุนทันที (มันจะค่อยๆ ทยอยหักเป็นค่าเสื่อมราคา) ทำให้ดูเหมือนว่ากำไรยังดีอยู่ แต่เงินสดในบัญชีคือหายวับไปกับตา

5. ภาระหนี้สิน (Debt Repayment)

การกู้เงินมาทำธุรกิจเป็นเรื่องปกติ แต่การจ่ายคืนหนี้สินนี่แหละที่ต้องระวัง! การจ่ายคืน “เงินต้น” ไม่ได้ถูกนับเป็นค่าใช้จ่ายในงบกำไรขาดทุน (มีแค่ส่วน “ดอกเบี้ย” ที่เป็นค่าใช้จ่าย) ดังนั้น บริษัทอาจจะมีกำไรสวยๆ แต่ทุกเดือนต้องเจียด “เงินสด” ก้อนใหญ่ไปจ่ายคืนธนาคาร ทำให้เงินสดที่เหลือให้หมุนเวียนจริงๆ มีน้อยกว่าที่เห็นในตัวเลขกำไรมาก

เครื่องมือของนักสืบการเงิน: เราจะรู้ได้ยังไงว่าบริษัทกำลังเงินขาดมือ?

ในโลกของธุรกิจ เรามีเครื่องมือ 3 อย่างที่เหมือนแว่นขยาย ช่วยให้เรามองเห็นสุขภาพทางการเงินที่แท้จริงของบริษัทได้ ไม่ใช่แค่ตัวเลขกำไรลวงตา นั่นคือ “งบการเงิน” ซึ่งประกอบด้วย:

  1. งบกำไรขาดทุน (Income Statement): นี่คือ “ใบเกรด” ที่เราคุ้นเคยกัน บอกว่าในช่วงเวลาหนึ่งๆ บริษัทมีรายได้เท่าไหร่ ค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ และสุดท้ายเหลือ “กำไร” หรือ “ขาดทุน” เท่าไหร่ ตัวนี้แหละที่มักจะดูดี แต่ซ่อนปัญหาไว้
  2. งบดุล (Balance Sheet): นี่คือ “ภาพถ่ายสุขภาพ” ณ วันใดวันหนึ่ง บอกว่าบริษัทมี “สินทรัพย์” (สิ่งที่บริษัทเป็นเจ้าของ เช่น เงินสด, ลูกหนี้, สินค้าคงคลัง, ตึก) เท่าไหร่ และมี “หนี้สิน” (สิ่งที่บริษัทเป็นหนี้คนอื่น) และ “ส่วนของผู้ถือหุ้น” (ทุนของเจ้าของ) เท่าไหร่ งบนี้จะช่วยให้เราเห็นว่าเงินสดถูกเอาไปจมไว้กับลูกหนี้หรือสินค้าคงคลังเยอะแค่ไหน
  3. พระเอกตัวจริง: งบกระแสเงินสด (Cash Flow Statement)

งบกระแสเงินสดคือที่สุด! มันคือ “Statement บัญชีธนาคาร” ของบริษัทเลยก็ว่าได้ มันไม่สนใจว่าคุณจะมีกำไรทางบัญชีเท่าไหร่ แต่มันโชว์ให้เห็นกันจะๆ เลยว่าในช่วงเวลานั้นๆ มีเงินสดไหลเข้าจริงๆ เท่าไหร่ และไหลออกจริงๆ เท่าไหร่ สุดท้ายเหลือเงินสดเพิ่มขึ้นหรือลดลง

โดยปกติงบกระแสเงินสดจะแบ่งเป็น 3 กิจกรรมหลักๆ:

  • กระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงาน (Operating Activities): เงินสดที่ได้มาจากการทำธุรกิจหลักๆ เลย เช่น เงินสดจากการขายของ หักด้วยเงินสดที่จ่ายให้ซัพพลายเออร์, จ่ายเงินเดือนพนักงาน บริษัทที่แข็งแรง ควรจะมีกระแสเงินสดจากส่วนนี้เป็นบวกเสมอ!
  • กระแสเงินสดจากกิจกรรมลงทุน (Investing Activities): เงินสดที่ใช้ไปกับการซื้อ หรือได้มาจากการขายสินทรัพย์ใหญ่ๆ เช่น ซื้อเครื่องจักร, ซื้อที่ดิน (ส่วนนี้มักจะติดลบ เพราะเป็นการลงทุนเพื่ออนาคต)
  • กระแสเงินสดจากกิจกรรมจัดหาเงิน (Financing Activities): เงินสดที่ได้มาจากการกู้ยืม หรือการเพิ่มทุนจากเจ้าของ และเงินสดที่จ่ายออกไปเพื่อคืนหนี้ (ถ้ากู้เยอะก็เป็นบวก ถ้าจ่ายหนี้เยอะก็เป็นลบ)

เคล็ดลับสำหรับนักสืบ Gen Z: เวลาดูบริษัทไหน ให้มองหางบกระแสเงินสดก่อนเลย ถ้าบริษัทมีกำไรดี แต่กระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงานติดลบต่อเนื่อง… นั่นคือสัญญาณธงแดง (Red Flag) ชัดๆ เลยว่าบริษัทอาจกำลังมีปัญหาการหมุนเงินอย่างรุนแรง


Q&A คลายข้อสงสัย: คำถามที่พบบ่อย

Q1: สรุปแล้วบริษัทกำไรดี แต่ทำไมถึงเจ๊งได้?

A: สรุปสั้นๆ คือ เพราะ “กำไร” ในกระดาษ ไม่ใช่ “เงินสด” ในธนาคารครับ บริษัทอาจมีกำไรจากการขายของให้ลูกค้าที่ยังไม่จ่ายเงิน (ลูกหนี้), เอาเงินไปจมกับสต็อกสินค้าที่ขายไม่ออก, หรือใช้เงินสดไปกับการลงทุนขยายกิจการจนหมด ทำให้ไม่มีเงินสดเหลือพอที่จะจ่ายค่าใช้จ่ายที่จำเป็นและรอไม่ได้ เช่น เงินเดือนพนักงาน, ค่าเช่า, หรือจ่ายหนี้ธนาคาร พอหมุนเงินไม่ทันก็ต้องปิดตัวลงในที่สุดครับ

Q2: “กระแสเงินสดติดลบ” หมายความว่ายังไง? น่ากลัวเสมอไปไหม?

A: ไม่เสมอไปครับ ต้องดูว่าเป็นลบจากกิจกรรมไหน ถ้า “กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน” ติดลบ อันนี้น่าเป็นห่วง เพราะแปลว่าธุรกิจหลักของคุณกำลังเผาเงินสดทิ้ง แต่ถ้าติดลบจาก “กิจกรรมลงทุน” (เช่น ซื้อเครื่องจักรใหม่) หรือ “กิจกรรมจัดหาเงิน” (เช่น จ่ายคืนเงินกู้ก้อนใหญ่) ในขณะที่กิจกรรมดำเนินงานยังเป็นบวกอยู่ อาจหมายความว่าบริษัทกำลังลงทุนเพื่อเติบโตหรือกำลังลดหนี้สิน ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีในระยะยาวครับ

Q3: สำหรับมือใหม่แบบเราๆ จะดูงบการเงินพวกนี้จากที่ไหนได้บ้าง?

A: ถ้าเป็นบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เราสามารถเข้าไปดูงบการเงินเหล่านี้ได้ฟรีๆ เลยครับที่เว็บไซต์ของ SET (set.or.th) หรือแอปพลิเคชัน Streaming ในหมวด “ข้อมูลบริษัท” หรือ “Factsheet” ครับ ลองเข้าไปกดเล่นดูได้เลย เป็นการฝึกทักษะการเงินไปในตัว

Q4: ที่เขาพูดกันว่า “Cash is King” นี่จริงไหม?

A: จริงแบบ 200% เลยครับ! ในโลกธุรกิจ กำไรเปรียบเหมือน “ความเห็น” (Opinion) ที่นักบัญชีตีความออกมา แต่เงินสดคือ “ความจริง” (Fact) ที่เถียงไม่ได้ บริษัทที่มีเงินสดเยอะ มีสภาพคล่องสูง จะมีความยืดหยุ่น สามารถรับมือกับวิกฤตได้ดีกว่า, สามารถคว้าโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ได้เร็วกว่า และที่สำคัญคือ “รอด” ได้ในยามคับขัน ดังนั้น เงินสดจึงเป็นเหมือนราชาที่คอยปกป้องอาณาจักรธุรกิจของเราครับ

Q5: ถ้าอยากเริ่มทำธุรกิจเล็กๆ ของตัวเอง (เช่น ขายของออนไลน์) ต้องระวังเรื่องเงินสดยังไงบ้าง?

A: เป็นคำถามที่ดีมาก! สำหรับคนเริ่มทำธุรกิจ พี่แนะนำให้โฟกัสเรื่องนี้สุดๆ เลยครับ:

  • ทำบัญชีรับ-จ่ายอย่างง่าย: ไม่ต้องหรูหรา ใช้แค่สมุดหรือ Excel ก็ได้ จดให้หมดว่าเงินสดเข้าจริงๆ วันไหน ออกจริงๆ วันไหน
  • อย่าสต็อกของเยอะเกินไป: ช่วงแรกๆ อาจจะรับเป็นพรีออเดอร์ หรือสั่งของมาทีละน้อยๆ ก่อน เพื่อดูแนวโน้มตลาด อย่าเพิ่งเอาเงินทั้งหมดไปจมกับสต็อก
  • เก็บเงินจากลูกค้าให้เร็วที่สุด: ถ้าเป็นไปได้ พยายามให้ลูกค้าโอนเงินก่อนส่งของ หรือเก็บเงินปลายทาง เพื่อให้เราได้เงินสดมาหมุนเร็วที่สุด
  • แยกบัญชีส่วนตัวกับบัญชีร้าน: สำคัญมาก! อย่าใช้ปนกันเด็ดขาด จะทำให้เรางง และไม่เห็นภาพรวมที่แท้จริงของร้าน
  • มีเงินสดสำรอง (Emergency Fund): กันเงินสดส่วนหนึ่งไว้สำหรับเหตุฉุกเฉิน อย่างน้อยให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายคงที่ของร้านได้ 3-6 เดือน

บทสรุป: ความรู้ทางการเงินคือ Power-Up Item ของ Gen Z

เรื่องราวของ “กำไรแต่ขาดเงินสด” ไม่ใช่แค่บทเรียนสำหรับ CEO หรือนักธุรกิจใหญ่ๆ แต่มันคือบทเรียนพื้นฐานสำคัญสำหรับทุกคนในยุคนี้ มันสอนให้เรารู้ว่าอย่ามองอะไรแค่เปลือกนอก อย่าเชื่อแค่ตัวเลขสวยๆ ที่เห็น แต่ต้องเจาะลึกลงไปถึง “แก่น” ที่แท้จริง ซึ่งในโลกธุรกิจ… แก่นนั้นก็คือ “กระแสเงินสด”

การเข้าใจเรื่องนี้จะทำให้เรามองโลกเปลี่ยนไป เวลาเราเห็นธุรกิจที่ดูรุ่งเรือง เราจะเริ่มตั้งคำถามว่า “แล้วกระแสเงินสดเขาเป็นยังไงนะ?” เวลาเราจะลงทุนอะไร เราจะคิดถึงสภาพคล่องมากขึ้น และที่สำคัญที่สุด เมื่อเราจะลงมือทำอะไรด้วยตัวเอง เราจะวางแผนการเงินได้รัดกุมและรอบคอบกว่าเดิม

จำไว้นะครับเพื่อนๆ Profit is an opinion, but cash is a fact. (กำไรเป็นเพียงความเห็น แต่เงินสดคือความจริง) ความรู้นี้แหละ คืออาวุธลับที่จะทำให้พวกเราชาว Gen Z เติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่ฉลาดทางการเงินและประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน!

ชอบบทความนี้? แชร์ให้เพื่อนๆ อ่านต่อได้เลย! มีคำถามหรืออยากคุยเรื่องไหนอีก คอมเมนต์บอกกันได้เลยนะ!

Most Popular

Categories