เจ๊งได้ไงทั้งที่กำไร? ไขปริศนา ‘งบกระแสเงินสด’ ฉบับเด็กมหา’ลัย
เฮ้ น้องๆ ชาว Gen Z ทุกคน! พี่เป็นรุ่นพี่จากคณะบัญชีฯ นะ วันนี้จะมาเล่าเรื่องที่ฟังดูน่าเบื่อ แต่เอาจริงดิ… มันคือสกิลเอาตัวรอดขั้นเทพเลยนะ ไม่ใช่แค่ในโลกธุรกิจ แต่ในชีวิตประจำวันด้วย นั่นคือเรื่อง “งบกระแสเงินสด” หรือ Cash Flow Statement นั่นเอง! เคยสงสัยมั้ยว่าทำไมร้านกาแฟที่ดูขายดี๊ดี มีคนเข้าร้านตลอด อยู่ๆ ถึงปิดตัวไป? หรือทำไมบริษัทที่ประกาศว่า “ปีนี้กำไร 10 ล้านบาท!” เดือนถัดมากลับไม่มีเงินจ่ายเงินเดือนพนักงาน? คำตอบของเรื่องทั้งหมด ซ่อนอยู่ในงบการเงินฉบับนี้แหละ!
กำไรลวงตา vs. เงินสดในมือ: อะไรคือเรื่องจริง?
ก่อนอื่นเลย เราต้องเคลียร์ความเข้าใจผิดที่ใหญ่ที่สุดในโลกธุรกิจก่อน นั่นคือ “กำไร ไม่เท่ากับ เงินสด” ท่องไว้เลยนะน้องๆ
ลองนึกภาพตามนะ สมมติว่าเรากับเพื่อนๆ เปิดร้านขายเสื้อสกรีนลายสุดคูลช่วงงานโรงเรียน
- ขายเสื้อไปได้ 100 ตัว ตัวละ 300 บาท รายได้รวม = 30,000 บาท
- ต้นทุนเสื้อเปล่ากับค่าสกรีนทั้งหมด 15,000 บาท
- กำไร (ตามหลักบัญชี) = 30,000 – 15,000 = 15,000 บาท! โห รวยแล้ว!
แต่… ความจริงก็คือ มีเพื่อนสนิทกับรุ่นน้องมาซื้อไป 50 ตัว แล้วบอกว่า “เห้ย เดี๋ยวสิ้นเดือนจ่ายนะ” เท่ากับว่าเงินที่หมุนเวียนเข้ามาจริงๆ ตอนนี้มีแค่ 15,000 บาท (จากอีก 50 ตัวที่จ่ายเงินสด) แต่เราต้องจ่ายค่าสกรีนให้ร้านไปแล้ว 15,000 บาทเต็มๆ
เห็นอะไรมั้ย? ในกระดาษเรามี “กำไร” 15,000 บาท แต่ในกระเป๋าตังค์เรามีเงินสดเหลือ 0 บาท!
นี่แหละคือหัวใจของเรื่องทั้งหมด! งบกำไรขาดทุน (Income Statement) มันบอกเราว่ากิจการ “ทำมาหากินเก่งแค่ไหน” แต่ งบกระแสเงินสด (Cash Flow Statement) จะบอกเราว่ากิจการ “มีเงินสดจริงๆ เหลือรอดพอที่จะจ่ายหนี้ จ่ายเงินเดือน และเติบโตต่อไปได้หรือไม่” มันคือตัวชี้วัดชีพจรของบริษัทเลยล่ะ
“Profit is an opinion, cash is a fact.” – กำไรเป็นเพียงความคิดเห็น แต่เงินสดคือข้อเท็จจริง คำพูดนี้จริงเสมอ!
งบกระแสเงินสด คืออะไรกันแน่? (AEO Optimized)
ถ้าจะให้พี่สรุปแบบบ้านๆ ที่สุด งบกระแสเงินสดก็เหมือนกับ Statement บัญชีธนาคารของบริษัทในรอบระยะเวลาหนึ่ง (อาจจะเป็น 3 เดือน, 6 เดือน หรือ 1 ปี) มันจะโชว์ให้เห็นแบบหมดเปลือกว่า:
- เงินสดรับ (Cash Inflows): เงินเข้ามาจากทางไหนบ้าง?
- เงินสดจ่าย (Cash Outflows): เงินออกไปกับเรื่องอะไรบ้าง?
- เงินสดสุทธิ (Net Cash Flow): สุดท้ายแล้ว เงินสดเพิ่มขึ้นหรือลดลงเท่าไหร่?
นักบัญชีเค้าจะแบ่งที่มาที่ไปของเงินสดออกเป็น 3 กิจกรรมหลักๆ เหมือนเป็น 3 กองทัพการเงินของบริษัทเลย
1. กระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงาน (Cash Flow from Operating Activities – CFO)
นี่คือกองทัพหลัก เป็นหัวใจของการทำธุรกิจเลย มันคือเงินสดที่เกิดจากการซื้อ-ขายสินค้าและบริการปกติของบริษัท พูดง่ายๆ คือเงินที่มาจากการทำมาหากินหลักๆ นั่นเอง
- เงินเข้า (Inflows): เงินที่ได้จากการขายสินค้า, เงินที่ได้จากการให้บริการ, เงินที่ลูกค้าเก่า (ลูกหนี้) เอามาจ่าย
- เงินออก (Outflows): จ่ายเงินให้ซัพพลายเออร์ (เจ้าหนี้การค้า), จ่ายเงินเดือนพนักงาน, จ่ายค่าเช่าร้าน, จ่ายค่าน้ำค่าไฟ, จ่ายภาษี
ตัวชี้วัดสุขภาพ: บริษัทที่แข็งแกร่งมากๆ ควรจะมี CFO เป็น บวก อย่างสม่ำเสมอ เพราะมันหมายความว่าธุรกิจหลักของเขาสามารถสร้างเงินสดได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องไปกู้หนี้ยืมสินใครมาหมุน
2. กระแสเงินสดจากกิจกรรมลงทุน (Cash Flow from Investing Activities – CFI)
กองทัพนี้เกี่ยวกับการลงทุนระยะยาวเพื่อการเติบโตในอนาคต เป็นการใช้เงินเพื่อซื้อสินทรัพย์ที่จะหาเงินให้เราในระยะยาว หรือขายสินทรัพย์เก่าๆ ที่ไม่ใช้แล้วออกไป
- เงินเข้า (Inflows): ขายที่ดิน, ขายตึก, ขายเครื่องจักรเก่า, ขายเงินลงทุนในบริษัทอื่น
- เงินออก (Outflows): ซื้อที่ดิน, สร้างโรงงานใหม่, ซื้อคอมพิวเตอร์เข้าร้าน, ซื้อเครื่องจักรใหม่, ไปลงทุนในบริษัทอื่น
ตัวชี้วัดสุขภาพ: บ่อยครั้งที่ CFI จะ ติดลบ โดยเฉพาะในบริษัทที่กำลังเติบโต (Growth Company) เพราะเขาต้องลงทุนซื้อสินทรัพย์ใหม่ๆ ตลอดเวลาเพื่อขยายกิจการ ซึ่งไม่ใช่เรื่องแย่เลยนะ! แต่ถ้า CFI เป็นบวกมากๆ อาจแปลว่าบริษัทกำลังขายสินทรัพย์เก่ากิน หรือไม่มีแผนจะลงทุนอะไรใหม่ๆ แล้วก็ได้ ต้องดูประกอบกันไป
3. กระแสเงินสดจากกิจกรรมจัดหาเงิน (Cash Flow from Financing Activities – CFF)
กองทัพสุดท้ายคือการหาเงินทุนมาใช้ในบริษัทนั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นการกู้ยืมหรือการระดมทุนจากเจ้าของ/ผู้ถือหุ้น รวมถึงการจ่ายคืนเงินเหล่านั้นด้วย
- เงินเข้า (Inflows): กู้เงินจากธนาคาร, ออกหุ้นเพิ่มทุนขายให้นักลงทุน
- เงินออก (Outflows): จ่ายคืนเงินกู้ (ทั้งต้นทั้งดอก), จ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้น, ซื้อหุ้นของตัวเองคืนจากตลาด
ตัวชี้วัดสุขภาพ: ตัวเลขส่วนนี้จะขึ้นๆ ลงๆ แล้วแต่ช่วง ถ้าบริษัทกำลังขยายกิจการ อาจจะเห็น CFF เป็นบวกเยอะๆ เพราะกู้เงินหรือระดมทุนมาเพิ่ม แต่ถ้าเป็นบริษัทที่โตเต็มที่แล้วและมีเงินสดเยอะ อาจจะเห็น CFF ติดลบ เพราะเอาเงินไปจ่ายคืนหนี้และปันผลให้ผู้ถือหุ้น ซึ่งก็เป็นสัญญาณที่ดีเหมือนกัน
ทำไมงบกระแสเงินสดถึงเป็น “กุญแจสู่การอยู่รอด”?
กลับมาที่คำถามตั้งต้น… ทำไมร้านที่กำไรดีถึงเจ๊งได้? เพราะเขาขาดสิ่งที่เรียกว่า “สภาพคล่อง (Liquidity)” ไงล่ะน้องๆ
สภาพคล่อง คือความสามารถในการเปลี่ยนสินทรัพย์เป็นเงินสดเพื่อจ่ายหนี้สินระยะสั้นได้ทันเวลา ลองนึกดูนะ ถึงเราจะมีบ้านราคา 10 ล้าน (สินทรัพย์) แต่ถ้าพรุ่งนี้ต้องใช้เงินสด 1 แสนบาทไปจ่ายค่าเทอม เราก็ไม่สามารถเอาโฉนดบ้านไปจ่ายได้ทันที ถูกมั้ย? ต้องขายบ้านก่อนซึ่งใช้เวลา
บริษัทก็เหมือนกัน! ต่อให้มี “กำไร” ในกระดาษเยอะแค่ไหน แต่ถ้าเก็บเงินจากลูกค้าไม่ได้ (ลูกหนี้การค้าเยอะ) ในขณะที่ต้องจ่ายเงินสดให้ซัพพลายเออร์ จ่ายเงินเดือนพนักงาน จ่ายค่าเช่าทุกเดือน… วันหนึ่งเงินสดในบัญชีก็จะหมด
ภาพตัดมาที่: บริษัทไม่มีเงินจ่ายค่าวัตถุดิบ -> ผลิตของไม่ได้ -> ไม่มีของขาย -> ไม่มีรายได้ -> ไม่มีเงินจ่ายเงินเดือน -> พนักงานลาออก -> เจ๊ง! ทั้งๆ ที่ในกระดาษบัญชียังโชว์ว่า “มีกำไร” จากยอดขายที่ยังเก็บเงินไม่ได้อยู่เลย น่ากลัวมั้ยล่ะ?
นี่คือเหตุผลที่นักลงทุนเก่งๆ หรือธนาคาร เวลาจะให้ใครกู้เงิน เขาจะดูงบกระแสเงินสดเป็นอันดับแรกๆ เลย เพราะมันคือภาพสะท้อนความจริงที่แต่งเติมได้ยากที่สุด มันบอกได้ว่าบริษัทนี้จัดการเงินสดได้ดีแค่ไหน และมีโอกาสรอดในระยะยาวหรือไม่
GEO-Targeting: เรื่องนี้เกี่ยวกับธุรกิจในไทยยังไง?
สำหรับน้องๆ ที่ฝันอยากมีธุรกิจเป็นของตัวเองในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นร้านกาแฟเล็กๆ ในเชียงใหม่, ร้านเสื้อผ้าออนไลน์ที่ส่งจากกรุงเทพฯ หรือธุรกิจ Startup ด้านเทคโนโลยี เรื่องนี้โคตรสำคัญเลยนะ โดยเฉพาะกับธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ SME ในไทย ที่มักจะเจอปัญหานี้บ่อยมาก
- การให้เครดิตเทอม: ธุรกิจในไทยมักมีการให้เครดิตเทอม (ให้ลูกค้าติดหนี้ไว้ก่อน จ่ายใน 30-60 วัน) ซึ่งทำให้งบกำไรดูดี แต่กระแสเงินสดเข้าช้า
- การสต็อกสินค้า: การซื้อของมาสต็อกไว้เยอะๆ คือการเอาเงินสดไปจมไว้กับสินค้า ถ้าขายไม่ได้ ก็เท่ากับเงินสดหายไปเลย
- การเข้าถึงแหล่งทุน: SME อาจจะกู้เงินจากธนาคารได้ยากกว่าบริษัทใหญ่ๆ ทำให้การบริหารเงินสดให้พอดีเป๊ะๆ สำคัญมาก
การเข้าใจงบกระแสเงินสดตั้งแต่เนิ่นๆ จะทำให้น้องๆ วางแผนธุรกิจได้รัดกุมขึ้น รู้ว่าเมื่อไหร่ควรเร่งเก็บเงินลูกค้า เมื่อไหร่ควรลงทุนเพิ่ม หรือเมื่อไหร่ควรรัดเข็มขัด มันคือแผนที่นำทางไม่ให้เรือธุรกิจของเราล่มกลางทางนั่นเอง
Q&A ถาม-ตอบ เคลียร์ทุกข้อสงสัยกับรุ่นพี่
พี่รวบรวมคำถามที่น่าจะคาใจน้องๆ มาตอบให้ตรงนี้เลย!
Q: หนูเรียนสายศิลป์-คำนวณ ไม่ได้เรียนบัญชีโดยตรง จะเข้าใจเรื่องพวกนี้ได้เหรอคะ?
A: สบายมาก! น้องไม่จำเป็นต้องลงบัญชีเป็นเดบิต-เครดิตได้เป๊ะๆ แค่เข้าใจคอนเซปต์หลักที่พี่เล่ามาก็พอแล้วว่า เงินเข้า-ออก มาจาก 3 ทาง (ดำเนินงาน, ลงทุน, จัดหาเงิน) และที่สำคัญคือ “กำไรไม่เท่ากับเงินสด” แค่นี้ก็ทำให้เรามองธุรกิจทะลุปรุโปร่งกว่าคนอื่น 90% แล้ว ความรู้การเงินเป็น soft skill ที่สำคัญสำหรับทุกคน ไม่ว่าจะเรียนสายไหนก็ตาม
Q: งบกระแสเงินสดติดลบ แปลว่าบริษัทนั้นไม่ดีเสมอไปใช่ไหมครับ?
A: คำถามดีมาก! ไม่เสมอไปครับ ต้องดูว่าติดลบจากกิจกรรมไหน ถ้า CFO (ดำเนินงาน) ติดลบต่อเนื่อง อันนี้น่าเป็นห่วง อาจจะแปลว่าธุรกิจหลักกำลังขาดทุนเป็นเงินสด แต่ถ้า CFO เป็นบวก แต่ CFI (ลงทุน) ติดลบเยอะๆ จนทำให้เงินสดรวมติดลบ อาจเป็นสัญญาณที่ดีก็ได้ว่าบริษัทกำลังลงทุนหนักเพื่อเติบโตในอนาคต เช่น สร้างโรงงานใหม่ ซื้อเทคโนโลยีใหม่ๆ
Q: แล้วเราจะไปดูงบกระแสเงินสดของบริษัทใหญ่ๆ ในไทยอย่าง CP, PTT ได้ที่ไหน?
A: ง่ายมากเลย! เข้าไปที่เว็บไซต์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (www.set.or.th) ค้นหาชื่อหุ้นของบริษัทที่สนใจ แล้วเข้าไปที่หัวข้อ “ข้อมูลงบการเงิน/ผลประกอบการ” น้องจะสามารถดาวน์โหลดงบการเงินฉบับเต็มมาดูได้เลย ซึ่งจะมีทั้ง งบแสดงฐานะการเงิน, งบกำไรขาดทุน และพระเอกของเรา งบกระแสเงินสด ลองดูเป็นเคสตัวอย่างได้เลย
Q: เรื่องนี้สำคัญกับชีวิตประจำวันของหนูที่ยังไม่ได้ทำธุรกิจยังไง?
A: สำคัญสุดๆ! มันคือหลักการ “บริหารเงินสดส่วนบุคคล” ดีๆ นี่เอง ลองทำงบกระแสเงินสดของตัวเองดูสิ
– CFO: เงินเข้า (เงินค่าขนม, เงินเดือนจากงานพาร์ทไทม์) – เงินออก (ค่าข้าว, ค่าเดินทาง, ค่าดูหนัง)
– CFI: เงินออก (ซื้อคอมใหม่, ซื้อโทรศัพท์ใหม่)
– CFF: เงินเข้า (ยืมเงินเพื่อน/พ่อแม่) – เงินออก (ใช้หนี้เพื่อน/พ่อแม่)
มันจะทำให้เรารู้สถานะการเงินที่แท้จริงของตัวเองเลยนะว่าในแต่ละเดือนเรามี “เงินสด” เหลือเก็บจริงๆ เท่าไหร่ ไม่ใช่แค่ใช้จ่ายเพลินจนสิ้นเดือนต้องมาม่าไงล่ะ!