วิธีอ่านค่า Current Ratio และ Quick Ratio เพื่อวางแผนการเงินเชิงรุก 🚀 (ฉบับเด็กมหาลัยสอนน้อง)
เพื่อนๆ น้องๆ ชาว Gen Z ทุกคน! เคยรู้สึกมั้ยว่าเรื่อง ‘การเงิน’ มันดูเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ที่โคตรจะซับซ้อน? คำศัพท์ยั้วเยี้ยเต็มไปหมด แต่เชื่อพี่มั้ยว่าถ้าเราเข้าใจ ‘เครื่องมือ’ บางอย่างก่อนใคร เราจะกลายเป็นคนรุ่นใหม่ที่วางแผนการเงินได้จึ้งๆ แบบก้าวกระโดดเลยนะ
วันนี้ในฐานะรุ่นพี่ที่คลุกคลีกับเรื่องนี้มาสักพัก (และเคยงงแบบพวกแกมาก่อน 🤣) จะมาสวมบทติวเตอร์จำเป็น สอนวิธีใช้ 2 สุดยอดเครื่องมือที่เรียกว่า Current Ratio และ Quick Ratio ที่ไม่ใช่แค่เด็กบัญชีหรือเศรษฐศาสตร์ต้องรู้ แต่ทุกคนที่อยากมีอนาคตทางการเงินที่มั่นคง ควรรู้จักไว้! มันคือสกิลติดตัวที่จะทำให้เรามองทะลุสุขภาพการเงินของบริษัทต่างๆ ได้ เหมือนมี X-Ray ส่วนตัวเลยล่ะ เตรียมตัวให้พร้อม แล้วไปลุยกันเลย!
ก่อนอื่นเลย… อัตราส่วนทางการเงิน (Ratio) มันคืออะไรกันแน่? 🤔
ใจเย็นๆ อย่าเพิ่งถอดใจกับคำว่า “อัตราส่วน” นะ! ให้คิดภาพตามง่ายๆ มันก็เหมือนการ ‘เปรียบเทียบ’ ของสองอย่างเพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น
เช่น เรามีเงินในกระเป๋า 100 บาท แล้วมีหนี้ต้องคืนเพื่อน 50 บาท ถ้าดูแค่ตัวเลขเดี่ยวๆ ก็อาจจะไม่เห็นอะไร แต่ถ้าเราเอามาเทียบกัน (100/50) เราจะรู้ทันทีว่า “เรามีเงินมากกว่าหนี้อยู่ 2 เท่า” นี่แหละ! คือหัวใจของ Ratio มันคือการเอาตัวเลข 2 ตัวในงบการเงินมาหารกัน เพื่อให้ได้ค่าที่มีความหมาย บอกอะไรเราได้มากกว่าแค่ตัวเลขโดดๆ
สรุปง่ายๆ: Ratio คือการเปลี่ยนตัวเลขทางการเงินที่น่าเบื่อ ให้กลายเป็น ‘คะแนนสุขภาพ’ ที่เราอ่านแล้วเข้าใจได้ทันที!
Part 1: Current Ratio – พลังวัดความอึดระยะสั้น 💪
ตัวแรกที่เราจะทำความรู้จักคือ Current Ratio หรือ “อัตราส่วนทุนหมุนเวียน” ชื่อไทยอาจจะดูยาก แต่คอนเซ็ปต์มันง่ายมาก มันคือตัวชี้วัดพื้นฐานที่สุดที่เอาไว้ดูว่า “บริษัทนี้มีเงินสดหรือสินทรัพย์ที่เปลี่ยนเป็นเงินสดได้ง่ายๆ พอที่จะจ่ายหนี้ระยะสั้นทั้งหมดได้มั้ย?”
พูดง่ายๆ คือ ถ้าเจ้าหนี้ทุกคนมาทวงเงินพร้อมกันพรุ่งนี้ บริษัทจะเจ๊งมั้ย? Current Ratio มีคำตอบ!
สูตรคำนวณ (ไม่ต้องกลัว! ง่ายกว่าสูตรฟิสิกส์เยอะ)
Current Ratio = สินทรัพย์หมุนเวียน (Current Assets) / หนี้สินหมุนเวียน (Current Liabilities)
มาแยกส่วนประกอบกัน!
- สินทรัพย์หมุนเวียน (Current Assets): คือทุกสิ่งที่บริษัทเป็นเจ้าของและสามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ภายใน 1 ปี เช่น เงินสดในมือ, เงินฝากธนาคาร, ลูกหนี้การค้า (เงินที่ลูกค้ารอจ่าย), และที่สำคัญคือ สินค้าคงคลัง (Inventory) หรือของที่ผลิต/ซื้อมาเพื่อรอขายนั่นเอง
- หนี้สินหมุนเวียน (Current Liabilities): คือหนี้สินทุกอย่างที่บริษัทต้องจ่ายคืนภายใน 1 ปี เช่น เงินกู้ระยะสั้นจากธนาคาร, เจ้าหนี้การค้า (เงินที่บริษัทต้องจ่ายให้ซัพพลายเออร์), ค่าใช้จ่ายค้างจ่ายต่างๆ
วิธีอ่านค่า Current Ratio แบบโปร
สมมติเราคำนวณออกมาแล้วได้ค่าตัวเลขหนึ่ง จะแปลความหมายยังไง?
Current Ratio > 1 (โดยทั่วไปควรจะอยู่แถวๆ 1.5 – 2): ดีมาก! ✅
หมายความว่าบริษัทมีสินทรัพย์หมุนเวียนมากกว่าหนี้สินระยะสั้น แปลว่ามีสภาพคล่องสูง มีความสามารถในการจ่ายหนี้สบายๆ เหมือนเรามีเงิน 200 แต่มีหนี้แค่ 100 ยังไงก็จ่ายไหว
Current Ratio < 1: สัญญาณอันตราย! ❌
หมายความว่าบริษัทมีหนี้ระยะสั้นมากกว่าสินทรัพย์หมุนเวียน! นี่คือภาวะเสี่ยงสูง ถ้าเจ้าหนี้ทวงเงินพร้อมกัน อาจจะไม่มีเงินจ่ายและล้มละลายได้เลย เหมือนเรามีเงินในกระเป๋า 50 บาท แต่ต้องจ่ายหนี้เพื่อน 100 บาท… งานเข้าแล้วมั้ยล่ะ!
Current Ratio สูงเกินไป (เช่น > 3): เอ๊ะ… ดีจริงเหรอ? 🧐
อาจจะไม่เสมอไป! การที่ค่านี้สูงมากๆ อาจแปลว่าบริษัทจัดการสินทรัพย์ได้ไม่ดีพอ เช่น มีเงินสดกองไว้เฉยๆ เยอะเกินไปแทนที่จะเอาไปลงทุนให้งอกเงย หรือมีสินค้าคงคลังบวมเกินไป ขายไม่ออก ทำให้เสียโอกาสในการทำกำไร
ตัวอย่างสไตล์วัยรุ่น: ร้านขายเสื้อยืดออนไลน์ของ “พี่สมาร์ท”
พี่สมาร์ทเปิดร้านขายเสื้อยืดออนไลน์ เขามี:
- เงินสดในบัญชี: 30,000 บาท
- เพื่อนสั่งเสื้อไปแล้วแต่ยังไม่จ่ายเงิน (ลูกหนี้): 10,000 บาท
- เสื้อยืดที่สต๊อกไว้รอขาย (สินค้าคงคลัง): 60,000 บาท
- รวมสินทรัพย์หมุนเวียน = 30,000 + 10,000 + 60,000 = 100,000 บาท
ในขณะเดียวกัน พี่สมาร์ทมีหนี้ที่ต้องจ่าย:
- หนี้ค่าผ้าที่สั่งมาทำเสื้อ (เจ้าหนี้การค้า): 40,000 บาท
- ค่ายิงแอด Facebook ที่ยังไม่จ่าย: 10,000 บาท
- รวมหนี้สินหมุนเวียน = 40,000 + 10,000 = 50,000 บาท
คำนวณ Current Ratio ของร้านพี่สมาร์ท:
Current Ratio = 100,000 / 50,000 = 2.0 เท่า
วิเคราะห์: ค่าออกมาเป็น 2.0 ถือว่าสุขภาพดีมาก! ร้านพี่สมาร์ทมีสินทรัพย์หมุนเวียนเป็น 2 เท่าของหนี้สินระยะสั้น สบายใจได้เลยว่ามีเงินจ่ายหนี้แน่นอน
Part 2: Quick Ratio – พลังวัดความไวในภาวะฉุกเฉิน ⚡️
ถ้า Current Ratio คือการตรวจสุขภาพทั่วไป… Quick Ratio ก็คือการตรวจเลือดในห้องฉุกเฉิน! มันเข้มงวดกว่า โหดกว่า และให้ภาพที่ระมัดระวังกว่ามาก
Quick Ratio มีอีกชื่อที่เท่กว่าคือ Acid-Test Ratio ซึ่งมาจากสมัยก่อนที่คนใช้กรดทดสอบว่าเป็นทองจริงมั้ย… อัตราส่วนนี้ก็เหมือนกัน คือเป็นการทดสอบว่าสภาพคล่องของบริษัท “ของจริง” หรือเปล่า โดยมีคำถามสำคัญคือ: “ถ้าตัดสินค้าคงคลังที่อาจจะขายไม่ออกทิ้งไป บริษัทยังมีปัญญาจ่ายหนี้ระยะสั้นมั้ย?”
สูตรคำนวณ (แค่ลบออกตัวเดียวเอง!)
Quick Ratio = (สินทรัพย์หมุนเวียน – สินค้าคงคลัง) / หนี้สินหมุนเวียน
ทำไมต้องตัด “สินค้าคงคลัง” ออก?
เพราะ สินค้าคงคลัง (Inventory) คือสินทรัพย์หมุนเวียนที่ “สภาพคล่องต่ำที่สุด” ไงล่ะ!
- ขายยาก: ไม่ใช่ว่าอยากจะขายแล้วจะเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ทันที อาจจะต้องใช้เวลา
- ราคาตก: เสื้อยืดลายที่ฮิตวันนี้ พรุ่งนี้อาจจะไม่มีใครอยากได้แล้วก็ได้ สินค้าเทคโนโลยีก็ตกรุ่นเร็วมาก
- เสียหาย: ของที่เก็บไว้อาจจะพัง เสียหาย หรือหมดอายุได้
Quick Ratio เลยตัดตัวแปรที่น่าปวดหัวนี้ออกไป เพื่อดูความสามารถในการจ่ายหนี้จากสินทรัพย์ที่เปลี่ยนเป็นเงินได้ง่ายจริงๆ (เงินสด, เงินฝาก, ลูกหนี้)
วิธีอ่านค่า Quick Ratio แบบเซียน
Quick Ratio ≥ 1: สุดยอด! แข็งแกร่งมาก! ✅
หมายความว่าบริษัทสามารถจ่ายหนี้ระยะสั้นทั้งหมดได้ โดยที่ไม่ต้องขายสินค้าในสต๊อกเลยแม้แต่ชิ้นเดียว! นี่คือบริษัทที่มีสภาพคล่องสูงปรี๊ด ปลอดภัยมากๆ
Quick Ratio < 1: ต้องพิจารณาให้ดี 🧐
อันนี้เจอบ่อยกว่า Current Ratio < 1 นะ ไม่ได้แปลว่าบริษัทจะเจ๊งทันที แต่หมายความว่าบริษัทต้องพึ่งพาการขายสินค้าในสต๊อกเพื่อมาจ่ายหนี้ ถ้าธุรกิจนั้นขายของออกเร็วก็อาจจะไม่มีปัญหา แต่ถ้าเป็นธุรกิจที่สต๊อกบวมๆ ขายของยากๆ ค่านี้ต่ำๆ ก็ถือว่าน่าเป็นห่วง
กลับไปที่ร้านของ “พี่สมาร์ท” อีกครั้ง
เรามาคำนวณ Quick Ratio ของร้านพี่สมาร์ทกันต่อ:
- สินทรัพย์หมุนเวียน: 100,000 บาท
- สินค้าคงคลัง: 60,000 บาท
- หนี้สินหมุนเวียน: 50,000 บาท
คำนวณ Quick Ratio:
Quick Ratio = (100,000 - 60,000) / 50,000 = 40,000 / 50,000 = 0.8 เท่า
วิเคราะห์: เห็นมั้ย! พอตัดสต๊อกเสื้อยืดออกไป ค่า Quick Ratio ของพี่สมาร์ทเหลือแค่ 0.8 ซึ่งต่ำกว่า 1 แปลว่าอะไร? แปลว่าถ้าพี่สมาร์ทต้องจ่ายหนี้ทั้งหมด 50,000 บาทพรุ่งนี้เลย เงินสดและเงินจากลูกหนี้ที่มีอยู่ (40,000 บาท) จะไม่พอจ่าย! เขาจำเป็นต้องขายเสื้อยืดในสต๊อกให้ได้อย่างน้อย 10,000 บาทเพื่อจะจ่ายหนี้ได้ครบ
นี่ไม่ได้แปลว่าร้านพี่สมาร์ทแย่นะ แค่แสดงให้เห็นว่าธุรกิจของเขาพึ่งพิงการขายสินค้าในสต๊อกเป็นหลัก ซึ่งเป็นเรื่องปกติของธุรกิจค้าปลีก
แล้วเราจะเอาไปใช้วางแผนการเงินเชิงรุกได้ยังไง? 💡
นี่แหละคือส่วนที่สนุกที่สุด! การเข้าใจ 2 ค่านี้ไม่ใช่แค่เรื่องของบริษัทใหญ่ๆ ในตลาดหุ้นไทย (SET) แต่มันคือ Mindset ที่เราเอามาปรับใช้กับตัวเองได้
1. สำหรับการลงทุนในอนาคต (Future Investor)
เมื่อเราโตขึ้นและเริ่มสนใจการลงทุนในหุ้น เราจะไม่ใช่แค่ฟังคนอื่นว่า “หุ้นตัวนี้น่าซื้อ” แต่เราจะสามารถเข้าไปดูงบการเงินของบริษัทในเว็บไซต์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ แล้วเปิดดูค่า Current Ratio และ Quick Ratio ได้ด้วยตัวเอง ทำให้เรา:
- คัดกรองหุ้นเสี่ยงสูงออกไป: บริษัทไหนที่ค่าพวกนี้ต่ำกว่า 1 ติดต่อกันหลายๆ ปี อาจจะมีปัญหาซ่อนอยู่ เราก็เลี่ยงซะ
- เปรียบเทียบคู่แข่ง: ถ้ามีบริษัท 2 แห่งทำธุรกิจคล้ายกัน เราสามารถใช้ Ratio พวกนี้เปรียบเทียบได้ว่าบริษัทไหนมีสถานะการเงินที่แข็งแกร่งกว่า
- เข้าใจธรรมชาติของธุรกิจ: เราจะรู้ว่าทำไมธุรกิจค้าปลีก (เช่น ห้างสรรพสินค้า) มักมี Quick Ratio ต่ำกว่า 1 (เพราะมีสต๊อกเยอะ) ในขณะที่ธุรกิจบริการ (เช่น โรงพยาบาล, บริษัทซอฟต์แวร์) อาจมีค่านี้สูงมาก (เพราะแทบไม่มีสต๊อก)
2. สำหรับการเป็นเจ้าของธุรกิจในฝัน (Future Entrepreneur)
ใครฝันอยากมีธุรกิจเป็นของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นร้านกาแฟเล็กๆ, แบรนด์เสื้อผ้า, หรือเอเจนซี่การตลาด การเข้าใจเรื่องนี้คือโคตรสำคัญ มันจะช่วยให้เราวางแผนธุรกิจได้อย่างรัดกุม ไม่ใช่ทำไปเจ๊งไป เราจะรู้จักบริหารจัดการเงินสด สต๊อกสินค้า และหนี้สิน เพื่อให้ธุรกิจของเรามี “สภาพคล่อง” ที่ดีและเติบโตได้อย่างยั่งยืน
3. สำหรับการเงินส่วนบุคคลตอนนี้! (Personal Finance Pro)
เราสามารถประยุกต์หลักการนี้กับเงินค่าขนมของเราได้เลย!
- สินทรัพย์หมุนเวียนของเรา: เงินสดในกระเป๋า + เงินเก็บในบัญชี
- หนี้สินหมุนเวียนของเรา: เงินที่ยืมเพื่อน, ค่าของที่บอกแม่ว่าจะจ่ายคืน
ลองดูสิว่า “Current Ratio” ส่วนตัวของเราเป็นเท่าไหร่? ถ้ามีเงินเก็บ 1,000 บาท แต่ยืมเพื่อนไว้ 800 บาท Ratio ก็แค่ 1.25 เองนะ… ค่อนข้างปริ่มๆ! การวางแผนเชิงรุกคือการพยายามรักษาระดับเงินออมให้สูงกว่าหนี้สินระยะสั้นเสมอ นี่แหละคือจุดเริ่มต้นของการสร้างวินัยทางการเงินที่แข็งแกร่ง
คำถามที่พบบ่อย (FAQ) สไตล์เด็กการเงิน 🙋♀️🙋♂️
Q: Current Ratio ยิ่งสูง ยิ่งดีเสมอไปจริงเหรอ?
A: ไม่เสมอไป! อย่างที่บอกไปตอนต้น ถ้าสูงเกินไป (เช่น 4-5 เท่า) อาจเป็นสัญญาณว่าบริษัทใช้สินทรัพย์ไม่คุ้มค่า อาจมีเงินสดหรือสินค้าคงคลังมากเกินความจำเป็น ทำให้เสียโอกาสในการนำเงินไปลงทุนต่อยอด หรือสินค้าอาจจะขายไม่ออกก็ได้ ต้องดูประกอบกับอย่างอื่นด้วย
Q: เราจะไปหาข้อมูล Ratio ของบริษัทในตลาดหุ้นไทยได้จากที่ไหน?
A: ง่ายมาก! เข้าไปที่เว็บไซต์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ที่ www.set.or.th แล้วค้นหาชื่อหุ้นที่สนใจ (เช่น AOT, PTT, CPALL) จากนั้นเข้าไปที่หัวข้อ “ข้อมูลงบการเงิน/ผลประกอบการ” ในนั้นจะมีอัตราส่วนทางการเงินสำคัญๆ คำนวณไว้ให้เราดูเพียบเลย!
Q: สองค่านี้ใช้ได้กับทุกประเภทธุรกิจเลยมั้ย?
A: ใช้เป็นหลักการได้ แต่ค่าที่ “เหมาะสม” จะแตกต่างกันไปในแต่ละอุตสาหกรรม เช่น ธุรกิจค้าปลีกมักจะมีสินค้าคงคลังเยอะ ทำให้ Quick Ratio ต่ำเป็นปกติ แต่ถ้าเป็นธุรกิจบริการที่ไม่มีสินค้าคงคลัง ค่า Current Ratio กับ Quick Ratio ก็จะใกล้เคียงกันมาก ดังนั้น เวลาเปรียบเทียบ ควรเปรียบเทียบบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกันนะ
Q: สรุปสั้นๆ Current Ratio กับ Quick Ratio ต่างกันยังไง?
A: Current Ratio คือการวัดสภาพคล่องโดยรวม (รวมสินค้าคงคลัง) เหมือนตรวจสุขภาพทั่วไป. Quick Ratio คือการวัดสภาพคล่องแบบเข้มงวด (ไม่รวมสินค้าคงคลัง) เหมือนตรวจเลือดในภาวะฉุกเฉิน มันบอกว่าถ้าขายของไม่ได้เลยจะรอดมั้ย
Q: หนู/ผมยังเป็นแค่นักเรียน/นักศึกษาอยู่เลย จะรู้เรื่องนี้ไปทำไม?
A: เพราะนี่คือทักษะแห่งอนาคต! ยิ่งเรารู้เร็วเท่าไหร่ เราก็ยิ่งได้เปรียบ การเข้าใจพื้นฐานการเงินตั้งแต่วันนี้ จะทำให้เราตัดสินใจเรื่องเงินได้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการออม, การเลือกที่ทำงานในอนาคต, การลงทุน, หรือแม้กระทั่งการทำธุรกิจของตัวเอง มันคือการสร้างภูมิคุ้มกันทางการเงินให้ตัวเองตั้งแต่เนิ่นๆ เลยนะ!
บทสรุป: ปลดล็อกพลังทางการเงินในมือเรา
เป็นไงกันบ้าง? ไม่ได้ยากอย่างที่คิดใช่มั้ยล่ะ! ตอนนี้เราทุกคนก็ได้เรียนรู้วิธีใช้เครื่องมือทรงพลังอย่าง Current Ratio และ Quick Ratio กันไปแล้ว
จำไว้เสมอว่า…
- Current Ratio คือตัวเช็ค “ความอึด” ทางการเงินโดยรวม
- Quick Ratio คือตัวทดสอบ “ความไว” ในสถานการณ์ฉุกเฉิน
การฝึกอ่านค่าเหล่านี้บ่อยๆ จะทำให้เรากลายเป็นคนรุ่นใหม่ที่มองเรื่องการเงินได้อย่างเฉียบคม ไม่ถูกหลอกง่าย และสามารถวางแผนอนาคตของตัวเองได้อย่าง “เชิงรุก” ไม่ใช่แค่ตั้งรับไปวันๆ ไม่ว่าเป้าหมายของเพื่อนๆ น้องๆ จะคือการเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ, เจ้าของธุรกิจที่เติบโตอย่างยั่งยืน, หรือแค่คนธรรมดาที่มีความมั่นคงทางการเงิน… ความรู้ในวันนี้คืออิฐก้อนแรกที่สำคัญที่สุด
ลองเอาไปใช้กันดูนะ! ลองเปิดเว็บ SET แล้วหาบริษัทที่ชอบซักตัว แล้วดูสิว่าค่า Ratio ของเขาเป็นยังไง มันจะทำให้เรามองข่าวเศรษฐกิจสนุกขึ้นอีกเยอะเลย!
แล้วเจอกันใหม่นะ ว่าที่เศรษฐีทุกคน! 😉
“`