อัตราส่วนทางการเงินที่ต้องรู้จากงบหลักทั้ง 3 เพื่อวิเคราะห์บริษัท ปี 2025

ส่องงบการเงิน 2025: 10 อัตราส่วนทางการเงินที่ต้องรู้! ฉบับเด็กรุ่นใหม่

วันนี้จะมาแชร์สกิลที่มีประโยชน์กับอนาคตของเราทุกคน นั่นคือ “การอ่านเกมธุรกิจผ่านตัวเลข” หรือที่เรียกเท่ๆ ว่า “การวิเคราะห์อัตราส่วนทางการเงิน” นั่นเอง! ลืมภาพจำวิชาเลขน่าเบื่อๆ ไปได้เลย เพราะนี่คือการใช้ตัวเลขเพื่อส่องดูว่าบริษัทที่เราสนใจมัน “รวยจริง” หรือ “รวยปลอม” กันแน่! ไม่ว่าจะอยากลงทุนในตลาดหุ้นไทย (SET) หรือแค่อยากเข้าใจโลกธุรกิจให้มากขึ้น บทความนี้เกิดมาเพื่อพวกเราเลย พร้อมแล้วก็ลุย!


ภาพกราฟหุ้นและงบการเงินพร้อมแว่นขยาย สื่อถึงการวิเคราะห์บริษัทอย่างละเอียด

AEO Quick Answer: อัตราส่วนทางการเงินคืออะไร?

อัตราส่วนทางการเงิน (Financial Ratios) คือ เครื่องมือที่นักลงทุนใช้ในการวิเคราะห์สุขภาพทางการเงินของบริษัท โดยการนำตัวเลขจากงบการเงินหลัก 3 ตัว (งบดุล, งบกำไรขาดทุน, งบกระแสเงินสด) มาเทียบกันเพื่อดูประสิทธิภาพ, สภาพคล่อง, ความสามารถในการทำกำไร และความเสี่ยงของบริษัทนั้นๆ พูดง่ายๆ มันคือ “ค่าพลัง” ของบริษัทในด้านต่างๆ นั่นเอง

รู้จัก “3 ทหารเสือ” งบการเงินหลักของทุกบริษัท

ก่อนจะไปดูอัตราส่วน เราต้องรู้จักหน้าตาของข้อมูลดิบที่เราจะเอามาใช้ก่อน ซึ่งก็คือ “งบการเงิน” 3 ตัวหลัก ที่ทุกบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยต้องเปิดเผยให้เราดู

  1. งบดุล (Balance Sheet): ให้นึกถึงภาพถ่าย “Snapshot” ณ วันใดวันหนึ่ง มันจะบอกว่าบริษัทมีทรัพย์สิน (Assets) อะไรบ้าง, มีหนี้สิน (Liabilities) เท่าไหร่ และมีส่วนของเจ้าของ (Equity) เหลืออยู่แค่ไหน สมการอมตะของมันคือ สินทรัพย์ = หนี้สิน + ทุน เสมอ!
  2. งบกำไรขาดทุน (Income Statement): อันนี้เหมือนดู “วิดีโอ” หรือ “ซีรีส์” ที่เล่าเรื่องราวในช่วงเวลาหนึ่ง (เช่น 1 ไตรมาส หรือ 1 ปี) ว่าบริษัททำรายได้เข้ามาเท่าไหร่ (Revenue), มีค่าใช้จ่าย (Expenses) อะไรไปบ้าง และสุดท้ายเหลือเป็นกำไร (Profit) หรือขาดทุน (Loss)
  3. งบกระแสเงินสด (Statement of Cash Flows): งบนี้เป็นเหมือน “นักสืบ” คอยตามติดว่า “เงินสดจริงๆ” ของบริษัทไหลเข้า-ออกจากกิจกรรมไหนบ้าง ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินงาน, การลงทุน หรือการจัดหาเงิน เพราะบางทีบริษัทมีกำไรในกระดาษ แต่ไม่มีเงินสดจริงจ่ายพนักงานก็เจ๊งได้นะ!

เจาะ 10 อัตราส่วนทางการเงินที่ต้องรู้! (อัปเดต 2025)

เอาล่ะ ถึงเวลาหยิบเครื่องคิดเลข (หรือเปิดแอปในมือถือ) แล้วมาลุยกับอัตราส่วนเด็ดๆ ที่พี่คัดมาให้แล้ว แบ่งเป็นหมวดๆ ให้เข้าใจง่ายๆ ไปเลย

หมวดที่ 1: วัดความรวยระยะสั้น (Liquidity Ratios) – มีเงินจ่ายหนี้มั้ย?

กลุ่มนี้จะบอกเราว่าบริษัทมีสภาพคล่องดีแค่ไหน สามารถเปลี่ยนสินทรัพย์เป็นเงินสดมาจ่ายหนี้ระยะสั้น (หนี้ที่ต้องจ่ายใน 1 ปี) ได้ทันท่วงทีรึเปล่า

1. อัตราส่วนสภาพคล่อง (Current Ratio)

บอกอะไร: บริษัทมีสินทรัพย์หมุนเวียน (ของที่เปลี่ยนเป็นเงินสดได้ใน 1 ปี) เยอะเป็นกี่เท่าของหนี้สินระยะสั้น

สินทรัพย์หมุนเวียน / หนี้สินหมุนเวียน

หลักการอ่าน: โดยทั่วไป ค่าควรมากกว่า 1 (แปลว่ามีสินทรัพย์พอจ่ายหนี้) แต่ถ้าจะให้ดีควรอยู่แถวๆ 1.5 – 2 เท่า ถ้าสูงไปอาจแปลว่าจัดการสินทรัพย์ได้ไม่ดี แต่ถ้าต่ำไปก็น่าห่วงเรื่องสภาพคล่อง

2. อัตราส่วนสภาพคล่องเร็ว (Quick Ratio or Acid-Test Ratio)

บอกอะไร: เหมือน Current Ratio แต่โหดกว่า คือจะตัด “สินค้าคงคลัง” (Inventory) ออกไปก่อน เพราะบางทีของในสต็อกมันขายเป็นเงินสดได้ช้า

(สินทรัพย์หมุนเวียน – สินค้าคงคลัง) / หนี้สินหมุนเวียน

หลักการอ่าน: ค่าควรมากกว่า 1 เช่นกัน ถือเป็นตัวชี้วัดสภาพคล่องที่เข้มข้นขึ้น ถ้าบริษัทไหนมี Quick Ratio สวยๆ นี่คือค่อนข้างสบายใจได้เลยว่าไม่น่ามีปัญหาเงินขาดมือระยะสั้น

หมวดที่ 2: วัดความเก่งในการทำกำไร (Profitability Ratios) – ขายของเก่งแค่ไหน?

กลุ่มนี้คือหัวใจเลย! มันบอกว่าบริษัทที่เราส่องเนี่ย มีความสามารถในการสร้างกำไรจากยอดขายหรือสินทรัพย์ที่ตัวเองมีได้ดีขนาดไหน

3. อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin)

บอกอะไร: หลังจากหักต้นทุนสินค้าที่ขายไป (เช่น วัตถุดิบ, ค่าแรงผลิต) แล้ว บริษัทเหลือกำไรกี่เปอร์เซ็นต์จากยอดขาย

(ยอดขาย – ต้นทุนขาย) / ยอดขาย * 100

หลักการอ่าน: ยิ่งสูงยิ่งดี! บ่งบอกถึงความสามารถในการควบคุมต้นทุนและพลังในการตั้งราคาขาย ถ้าบริษัท A กับ B ขายของเหมือนกัน แต่ A มี GPM สูงกว่า แปลว่า A บริหารต้นทุนได้เก่งกว่านั่นเอง

4. อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin)

บอกอะไร: นี่คือ “กำไรบรรทัดสุดท้าย” ที่แท้ทรู! หลังจากหักค่าใช้จ่ายทุกอย่าง ทั้งต้นทุนขาย, ค่าการตลาด, ค่าบริหาร, ดอกเบี้ย, ภาษี… แล้วเหลือเป็นกำไรสุทธิกี่เปอร์เซ็นต์ของยอดขาย

กำไรสุทธิ / ยอดขาย * 100

หลักการอ่าน: ยิ่งสูงยิ่งดี! ตัวเลขนี้สะท้อนประสิทธิภาพการดำเนินงานทั้งหมดของบริษัท บริษัทที่มี NPM สูงและสม่ำเสมอในกรุงเทพฯ หรือทั่วประเทศไทย ถือว่าเป็นบริษัทที่แข็งแกร่งมาก

5. อัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ (Return on Assets – ROA)

บอกอะไร: บริษัทใช้สินทรัพย์ทั้งหมดที่มีอยู่ (ทั้งตึก, เครื่องจักร, เงินสด) สร้างกำไรได้เก่งแค่ไหน

กำไรสุทธิ / สินทรัพย์รวมเฉลี่ย * 100

หลักการอ่าน: ยิ่งสูงยิ่งดี! เหมือนเราถามว่า “ถ้ามีเงิน 100 บาทไปลงทุนซื้อของมาทำธุรกิจ จะสร้างกำไรกลับมาได้กี่บาท” ROA สูงแปลว่าบริษัทใช้ของที่มีอยู่ได้อย่างคุ้มค่าสุดๆ

6. อัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Return on Equity – ROE)

บอกอะไร: ตัวนี้เด็ดมากสำหรับคนจะซื้อหุ้น! มันบอกว่า “เงินทุน” ที่เราในฐานะผู้ถือหุ้นใส่ลงไปในบริษัท สามารถสร้างผลตอบแทนกลับมาเป็นกำไรได้กี่เปอร์เซ็นต์

กำไรสุทธิ / ส่วนของผู้ถือหุ้นเฉลี่ย * 100

หลักการอ่าน: ยิ่งสูงยิ่งดี! Warren Buffett นักลงทุนระดับตำนานชอบดูตัวนี้มาก โดยทั่วไป ROE ที่สูงกว่า 15% อย่างสม่ำเสมอถือว่าน่าสนใจมากๆ

หมวดที่ 3: วัดความแข็งแกร่งทางการเงิน (Leverage Ratios) – หนี้เยอะไปมั้ย?

กลุ่มนี้ช่วยให้เราเห็นโครงสร้างเงินทุนของบริษัท ว่าพึ่งพา “เงินกู้” (หนี้) มากกว่า “เงินทุน” ของตัวเองรึเปล่า หนี้เยอะไปก็เสี่ยงสูงนะ!

7. อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Debt to Equity Ratio – D/E Ratio)

บอกอะไร: อัตราส่วนสุดคลาสสิกที่บอกว่าบริษัทมีหนี้สินเป็นกี่เท่าของเงินทุนเจ้าของ

หนี้สินรวม / ส่วนของผู้ถือหุ้นรวม

หลักการอ่าน: ยิ่งต่ำยิ่งดี! ถ้า D/E = 1 เท่า แปลว่ามีหนี้เท่ากับทุน ถ้า D/E = 2 เท่า แปลว่ามีหนี้เป็น 2 เท่าของทุน ซึ่งเริ่มเสี่ยงแล้ว โดยทั่วไปค่าที่ไม่ควรเกิน 1.5 – 2 เท่าจะค่อนข้างปลอดภัย (แต่ก็ขึ้นอยู่กับประเภทธุรกิจด้วยนะ บางธุรกิจจำเป็นต้องมีหนี้เยอะ)

8. อัตราส่วนความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ย (Interest Coverage Ratio)

บอกอะไร: บริษัทมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ยและภาษี (EBIT) เป็นกี่เท่าของดอกเบี้ยที่ต้องจ่าย

กำไรก่อนดอกเบี้ยและภาษี (EBIT) / ดอกเบี้ยจ่าย

หลักการอ่าน: ยิ่งสูงยิ่งปลอดภัย! ค่านี้เหมือนเป็น “เกราะป้องกัน” ถ้าค่าสูงมากๆ (เช่น 10 เท่าขึ้นไป) แปลว่าต่อให้กำไรลดลงฮวบฮาบ ก็ยังมีปัญญาจ่ายดอกเบี้ยสบายๆ ไม่เสี่ยงโดนฟ้องล้มละลาย

หมวดที่ 4: วัดประสิทธิภาพการดำเนินงาน (Efficiency Ratios) – บริหารของเก่งมั้ย?

กลุ่มนี้จะเจาะลึกไปที่การบริหารจัดการภายในของบริษัท ว่าใช้สินทรัพย์ต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพแค่ไหน

9. อัตราการหมุนของสินค้าคงคลัง (Inventory Turnover)

บอกอะไร: ใน 1 ปี บริษัทสามารถขายสินค้าในสต็อกออกไปได้กี่รอบ

ต้นทุนขาย / สินค้าคงคลังเฉลี่ย

หลักการอ่าน: ยิ่งสูงยิ่งดี! (ในธุรกิจส่วนใหญ่) ค่าสูงแปลว่าบริษัทขายของออกไวมาก ไม่ต้องสต็อกของไว้นาน เงินไม่จมไปกับสินค้าที่ขายไม่ออก

10. ระยะเวลาเก็บหนี้เฉลี่ย (Day Sales Outstanding – DSO)

บอกอะไร: หลังจากขายของเป็นเงินเชื่อไปแล้ว บริษัทใช้เวลากี่วันในการตามเก็บเงินจากลูกค้าได้

(ลูกหนี้การค้าเฉลี่ย / ยอดขาย) * 365

หลักการอ่าน: ยิ่งสั้นยิ่งดี! แปลว่าบริษัทมีพลังในการต่อรองสูง เก็บเงินสดกลับมาได้เร็ว ทำให้มีกระแสเงินสดดี

อย่าดูแค่ตัวเดียว! เทคนิคการวิเคราะห์ฉบับโปร

การดูอัตราส่วนแค่ตัวเดียว หรือดูแค่ปีเดียว มันเหมือนการตัดสินคนจากรูปโปรไฟล์รูปเดียว ซึ่งมันไม่เวิร์ค! เราต้องดูแบบองค์รวม:

  • ดูแนวโน้ม (Trend Analysis): นำอัตราส่วนของบริษัทเดียวกันมาเทียบกัน 3-5 ปีย้อนหลัง เพื่อดูว่ามันดีขึ้น, แย่ลง, หรือทรงๆ
  • เทียบกับคู่แข่ง (Competitor Analysis): เอาไปเทียบกับบริษัทที่ทำธุรกิจคล้ายๆ กันในอุตสาหกรรมเดียวกัน เช่น เทียบบริษัท A กับ B ที่ขายของเหมือนกัน จะได้รู้ว่าใครเก่งกว่าใคร
  • เทียบกับค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม (Industry Average): ดูว่าบริษัทที่เราสนใจทำได้ดีกว่าหรือแย่กว่าค่าเฉลี่ยของธุรกิจประเภทนั้นๆ

Q&A ถาม-ตอบ ข้อสงสัยสำหรับนักวิเคราะห์มือใหม่

Q1: อัตราส่วนทางการเงินตัวไหนสำคัญที่สุดที่ต้องดู?

A: ไม่มีตัวไหนสำคัญที่สุดตัวเดียว! มันเหมือนการตรวจสุขภาพที่ต้องดูทั้งความดัน, ระดับน้ำตาล, คอเลสเตอรอล ประกอบกัน แต่ถ้าให้เลือกกลุ่มที่ทรงพลัง พี่จะแนะนำให้ดู ROE (วัดผลตอบแทนให้เจ้าของ), Net Profit Margin (วัดกำไรสุทธิ), และ D/E Ratio (วัดความเสี่ยงหนี้สิน) เป็นสามตัวหลักๆ ก่อนเลย

Q2: แล้วจะไปหาข้อมูลงบการเงินพวกนี้ได้จากที่ไหน?

A: ง่ายมาก! สำหรับบริษัทในตลาดหุ้นไทย (SET) สามารถเข้าไปดูได้ฟรีที่เว็บไซต์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (www.set.or.th) โดยค้นหาชื่อหุ้นที่สนใจ แล้วเข้าไปที่เมนู “ข้อมูลงบการเงิน/ผลประกอบการ” หรืออีกแหล่งคือ “แบบ 56-1 One Report” ซึ่งเป็นรายงานประจำปีที่ให้ข้อมูลละเอียดสุดๆ

Q3: ถ้าค่า D/E Ratio สูงแปลว่าบริษัทไม่ดีเสมอไปเหรอ?

A: ไม่เสมอไปครับน้อง! ต้องดูประเภทธุรกิจด้วย เช่น ธุรกิจธนาคาร หรือธุรกิจให้เช่าซื้อ (Leasing) มักจะมี D/E Ratio ที่สูงโดยธรรมชาติ เพราะโมเดลธุรกิจของเขาคือการกู้เงินมาปล่อยกู้ต่อ สิ่งสำคัญคือต้องดูว่าหนี้ที่กู้มานั้น สามารถสร้างผลตอบแทน (ROA, ROE) ได้สูงกว่าต้นทุนดอกเบี้ยที่จ่ายไปหรือไม่

Q4: ปี 2025 มีแนวโน้มอะไรที่ต้องจับตาในการวิเคราะห์บริษัทบ้าง?

A: เป็นคำถามที่ดีมาก! ในปี 2025 และต่อไป เทรนด์เรื่อง ESG (Environmental, Social, Governance) หรือการดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม, สังคม และธรรมาภิบาล จะสำคัญขึ้นเรื่อยๆ แม้มันจะไม่ได้อยู่ในอัตราส่วนทางการเงินโดยตรง แต่มันส่งผลต่อความยั่งยืนและมูลค่าของบริษัทในระยะยาวมากๆ บริษัทไหนทำเรื่องนี้ได้ดี ก็มีแนวโน้มที่จะเติบโตได้อย่างมั่นคง

สรุปส่งท้ายจากพี่

เป็นไงบ้างน้องๆ พอเห็นภาพแล้วใช่มั้ยว่าการวิเคราะห์บริษัทมันไม่ได้ยากหรือน่าเบื่ออย่างที่คิดเลย มันเหมือนการไขปริศนาสนุกๆ ที่มี “งบการเงิน” เป็นคำใบ้ และ “อัตราส่วนทางการเงิน” เป็นกุญแจไขความลับ การมีความรู้ตรงนี้ติดตัวไว้มันโคตรจะ Empowering เลยนะ มันทำให้เรามองโลกธุรกิจได้ขาดขึ้น ไม่โดนใครหลอกง่ายๆ และที่สำคัญที่สุด มันคือบันไดก้าวแรกสู่การสร้างความมั่งคั่งและอิสรภาพทางการเงินในอนาคตของเราเอง! วันนี้อาจจะยังงงๆ บ้าง ไม่เป็นไร ค่อยๆ ศึกษาไปนะน้อง พี่เป็นกำลังใจให้! สู้ๆ!

“`

Most Popular

Categories