ESG Metrics: บทบาทใหม่ของนักบัญชีในยุคการเงินยั่งยืน
สวัสดีเพื่อนๆ ชาว Gen Z ทุกคน!
เคยรู้สึกไหมว่าโลกหมุนเร็วขึ้นทุกวัน? เทรนด์ใหม่ๆ ข่าวสารต่างๆ วิ่งเข้ามาไม่หยุด โดยเฉพาะเรื่อง “ความยั่งยืน” หรือ “Sustainability” ที่เราได้ยินกันจนคุ้นหู ไม่ว่าจะตอนเลือกซื้อเสื้อผ้าซักตัว หรือตอนดูข่าวเรื่องโลกร้อน… แต่เคยสงสัยกันไหมว่า คำสุดฮิตนี้มันเข้ามาเกี่ยวอะไรกับวิชาที่ดูเหมือนจะเคร่งขรึมและเต็มไปด้วยตัวเลขอย่าง “การบัญชี” ด้วยล่ะ?
ในฐานะนักศึกษาบัญชีคนหนึ่ง เราเองก็เคยคิดว่าโลกของเราคงวนเวียนอยู่กับแค่ เดบิต-เครดิต งบดุล งบกำไรขาดทุน แต่พอได้มาเจอกับคำว่า ESG โลกทัศน์เราก็เปลี่ยนไปเลย! มันเหมือนกับการปลดล็อกสกิลใหม่ให้นักบัญชี ที่ไม่ได้เป็นแค่ “ผู้พิทักษ์ตัวเลข” แต่กำลังจะกลายเป็น “สถาปนิกแห่งความยั่งยืน” ขององค์กร วันนี้เราเลยอยากจะมาชวนเพื่อนๆ เจาะลึกเรื่องนี้กันแบบเข้าใจง่าย สไตล์เด็กมหา’ลัยคุยกันเอง รับรองว่าอ่านจบแล้วจะมองวิชาชีพบัญชีเปลี่ยนไปแน่นอน!

แกะกล่อง ESG: ไม่ใช่แค่เรื่องปลูกป่า แต่คืออะไรกันแน่?
ก่อนจะไปไกล เรามาทำความรู้จักพระเอกของเราก่อน คำว่า ESG ย่อมาจาก 3 คำที่ทรงพลังมากๆ ในโลกธุรกิจยุคใหม่:
- E – Environmental (สิ่งแวดล้อม): พูดง่ายๆ คือ บริษัทนั้นดูแลโลกใบนี้ดีแค่ไหน? ไม่ใช่แค่การปลูกป่าสวยๆ เพื่อสร้างภาพนะ แต่มันลงลึกไปถึงการวัดผลที่เป็นรูปธรรม เช่น
- การปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Carbon Footprint): บริษัทมีกระบวนการผลิตที่ปล่อยคาร์บอนเยอะไหม? มีแผนลดมันยังไง?
- การจัดการขยะและมลพิษ: ของเสียจากโรงงานถูกกำจัดอย่างถูกวิธีรึเปล่า? มีการรีไซเคิลมากน้อยแค่ไหน?
- การใช้ทรัพยากรธรรมชาติ: ใช้น้ำ ใช้ไฟฟ้า อย่างมีประสิทธิภาพไหม? มีการหันไปใช้พลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) บ้างรึเปล่า?
- S – Social (สังคม): หมายถึงการที่บริษัทปฏิบัติต่อ “คน” ทั้งในและนอกองค์กรยังไงบ้าง เรื่องนี้ใกล้ตัวเรามากๆ
- สิทธิมนุษยชนและแรงงาน: ดูแลพนักงานดีไหม? สภาพแวดล้อมการทำงานปลอดภัยรึเปล่า? มีการใช้แรงงานเด็กหรือแรงงานทาสไหม?
- ความหลากหลายและการยอมรับ (Diversity & Inclusion): เปิดโอกาสให้คนทุกเพศ ทุกวัย ทุกเชื้อชาติ อย่างเท่าเทียมกันไหม?
- ความสัมพันธ์กับชุมชน: บริษัทเข้าไปสร้างผลกระทบที่ดีหรือแย่ต่อชุมชนรอบข้าง? มีโครงการช่วยเหลือสังคมอะไรบ้าง?
- G – Governance (ธรรมาภิบาล): ข้อนี้อาจจะดูเข้าใจยากนิดหน่อย แต่สำคัญสุดๆ มันคือ “กฎกติกา” ในการบริหารจัดการบริษัทให้โปร่งใสและเป็นธรรม
- ความโปร่งใส: เปิดเผยข้อมูลสำคัญๆ ให้ผู้ถือหุ้นและสาธารณชนรับรู้ไหม?
- การต่อต้านการทุจริต: มีนโยบายป้องกันการคอร์รัปชันที่เข้มแข็งแค่ไหน?
- โครงสร้างคณะกรรมการ: ผู้บริหารมีการถ่วงดุลอำนาจกันดีไหม? หรือมีใครคนใดคนหนึ่งคุมอำนาจเบ็ดเสร็จ?
เห็นไหมว่า ESG มันครอบคลุมแทบทุกมิติของบริษัทเลย ไม่ใช่แค่เรื่อง CSR ทำดีเอาหน้า แต่เป็น “DNA” ที่ฝังลึกอยู่ในการดำเนินธุรกิจจริงๆ
ทำไม ESG ถึงกลายเป็น ‘เรื่องใหญ่’ ในโลกธุรกิจและการลงทุน?
โอเค… รู้แล้วว่า ESG คืออะไร แต่ทำไมจู่ๆ มันถึงกลายเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องพูดถึง? ทำไมบริษัทใหญ่ๆ ทั่วโลกถึงทุ่มงบมหาศาลเพื่อทำรายงาน ESG? เหตุผลหลักๆ มีอยู่ 4 ข้อครับ
- นักลงทุน Gen ใหม่ใส่ใจมากกว่าแค่ตัวเลขกำไร: สมัยก่อน นักลงทุนอาจจะมองแค่ว่า “บริษัทนี้กำไรดีไหม?” แต่สมัยนี้ โดยเฉพาะนักลงทุนรุ่นใหม่ๆ พวกเขามองไกลกว่านั้น เขาถามว่า “บริษัทนี้ทำกำไรมาด้วยวิธีที่ทำร้ายโลกรึเปล่า?” เงินลงทุนจึงไหลไปหาบริษัทที่ทำธุรกิจอย่างยั่งยืนมากขึ้น เพราะมันหมายถึงความเสี่ยงที่ต่ำกว่าในระยะยาว
- พลังของผู้บริโภค (อย่างพวกเรา!): เราอยู่ในยุคที่ข้อมูลข่าวสารถึงกันหมด เราเลือกที่จะสนับสนุนแบรนด์ที่คิดดี ทำดี และพร้อมจะ “เท” แบรนด์ที่มีข่าวฉาวเรื่องทำลายสิ่งแวดล้อมหรือกดขี่แรงงาน พลังของพวกเรานี่แหละที่กดดันให้บริษัทต้องปรับตัว
- กฎระเบียบที่เข้มข้นขึ้น: ภาครัฐทั่วโลก รวมถึงในไทย เริ่มออกกฎเกณฑ์ให้บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ต้องเปิดเผยข้อมูลด้าน ESG อย่างเป็นทางการ มันไม่ใช่เรื่องของความสมัครใจอีกต่อไป แต่เป็นสิ่งที่ “ต้องทำ”
- การบริหารความเสี่ยง: บริษัทที่เพิกเฉยต่อ ESG มีความเสี่ยงสูงมาก ลองนึกภาพโรงงานที่ปล่อยน้ำเสียลงแม่น้ำสิ วันดีคืนดีอาจจะโดนชาวบ้านฟ้องร้อง โดนสั่งปิด หรือโดนปรับเงินมหาศาลจนเจ๊งไปเลยก็ได้ การใส่ใจ ESG จึงเท่ากับการจัดการความเสี่ยงในอนาคต
นักบัญชี 2.0: จาก ‘ผู้พิทักษ์ตัวเลข’ สู่ ‘สถาปนิกแห่งความยั่งยืน’
และแล้วก็มาถึงคำถามสำคัญ… แล้วนักบัญชีไปเกี่ยวอะไรด้วย?
คำตอบคือ… เกี่ยวเต็มๆ เลย! เพราะหัวใจของ ESG คือ “การวัดผล (Measurement)” และ “การรายงาน (Reporting)” ซึ่งเป็นทักษะหลักของนักบัญชีอยู่แล้ว เพียงแต่สิ่งที่วัดมันเปลี่ยนไป
จากเดิมที่เราวัดผลแค่ “ตัวเลขทางการเงิน” (Financial Metrics) เช่น รายได้, กำไร, สินทรัพย์ ตอนนี้เราต้องวัดผล “ตัวเลขที่ไม่ใช่การเงิน” (Non-Financial Metrics) หรือที่เรียกว่า ESG Metrics ด้วย ซึ่งนี่คือบทบาทใหม่ที่ท้าทายและน่าตื่นเต้นสุดๆ ของนักบัญชีในศตวรรษที่ 21

ไม่ใช่แค่เดบิต-เครดิต: การวัดผลที่ไกลกว่ากำไร
ลองนึกภาพตามนะ ถ้าผู้บริหารอยากรู้ว่า “ปีนี้บริษัทเราปล่อยคาร์บอนไปกี่ตัน?” หรือ “อัตราความพึงพอใจของพนักงานเพิ่มขึ้นกี่เปอร์เซ็นต์?” ใครล่ะที่จะเป็นคนรวบรวมข้อมูล ตรวจสอบความถูกต้อง และนำเสนอออกมาเป็นรายงานที่น่าเชื่อถือ?
ใช่แล้ว… นักบัญชีไงล่ะ!
เราต้องเปลี่ยนจากการนับ “เงิน” มาเป็นการนับ “ปริมาณการใช้น้ำ (ลูกบาศก์เมตร)”, “ปริมาณขยะ (ตัน)”, “ชั่วโมงการอบรมพนักงาน”, “อุบัติเหตุในการทำงาน (ครั้ง)” ข้อมูลเหล่านี้ไม่ได้อยู่ในงบการเงิน แต่มันกระจัดกระจายอยู่ตามแผนกต่างๆ ทั่วทั้งองค์กร นี่คือความท้าทายแรก
ภารกิจใหม่ 4 ด้านของนักบัญชีสาย ESG
บทบาทใหม่นี้สามารถแบ่งออกเป็น 4 ภารกิจหลักๆ ได้เลย
- นักสืบข้อมูล (Data Collector & Verifier): ภารกิจแรกคือการตามล่าหาข้อมูล ESG ที่ซ่อนอยู่ตามแผนกต่างๆ เช่น ไปขอข้อมูลบิลค่าไฟจากฝ่ายอาคาร, ขอสถิติการลาออกของพนักงานจากฝ่าย HR, ขอข้อมูลการจัดการของเสียจากฝ่ายผลิต แล้วไม่ใช่แค่เก็บมาเฉยๆ นะ ต้องตรวจสอบด้วยว่าข้อมูลนั้นถูกต้องและเชื่อถือได้จริงไหม
- ผู้สร้างรายงาน (Report Creator): เมื่อได้ข้อมูลมาแล้ว ก็ต้องนำมาจัดทำเป็น “รายงานความยั่งยืน (Sustainability Report)” ซึ่งก็เหมือนกับการทำงบการเงินนั่นแหละ แต่ต้องเป็นไปตามมาตรฐานสากล เช่น GRI (Global Reporting Initiative) หรือ SASB (Sustainability Accounting Standards Board) เพื่อให้นักลงทุนและคนภายนอกเอาไปเปรียบเทียบกับบริษัทอื่นได้
- ที่ปรึกษาเชิงกลยุทธ์ (Strategic Advisor): นี่คือบทบาทที่เท่ที่สุด! เมื่อเรามีข้อมูลในมือ เราจะไม่ได้แค่รายงานตัวเลข แต่เราสามารถวิเคราะห์และให้คำแนะนำผู้บริหารได้ เช่น “ข้อมูลฟ้องว่าแผนก A ใช้พลังงานเปลืองที่สุด เราควรลงทุนเปลี่ยนหลอดไฟเป็น LED นะคะ/ครับ นอกจากจะช่วยลดการปล่อยคาร์บอนแล้ว ยังช่วยลดค่าไฟได้ปีละหลายแสนบาทด้วย” นี่คือการเปลี่ยนข้อมูล ESG ให้กลายเป็นกลยุทธ์ทางธุรกิจที่จับต้องได้!
- ผู้ให้ความเชื่อมั่น (Assurance Provider): เมื่อบริษัทประกาศว่า “เราเป็นองค์กรสีเขียว!” นักลงทุนจะเชื่อได้ยังไงว่าไม่ได้พูดเกินจริง หรือที่เรียกว่า “Greenwashing” (ฟอกเขียว)? นักบัญชี (หรือผู้สอบบัญชี) จะต้องเข้าไปตรวจสอบและให้การรับรองข้อมูลในรายงานความยั่งยืน เหมือนกับการตรวจสอบงบการเงินเลย เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับทุกฝ่าย
Q&A คลายข้อสงสัย: ถามมา-ตอบไป สไตล์เด็กบัญชี
เรารู้ว่าเรื่องนี้อาจจะใหม่สำหรับเพื่อนๆ หลายคน เลยรวบรวมคำถามที่น่าจะสงสัยกันมาตอบให้เคลียร์ๆ ไปเลย!
Q1: ESG เป็นแค่เทรนด์ที่มาแล้วก็ไปรึเปล่า?
A: ไม่น่าจะใช่แล้วล่ะ! ESG ไม่ใช่แฟชั่น แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐาน (Fundamental Shift) ของโลกธุรกิจเลย เพราะมันผูกโยงกับความเสี่ยงและโอกาสที่แท้จริงของบริษัท ทั้งด้านกฎหมาย, ชื่อเสียง, และความสามารถในการแข่งขัน ตราบใดที่โลกยังต้องเผชิญกับปัญหาโลกร้อนและความเหลื่อมล้ำทางสังคม ESG ก็จะยังคงอยู่และทวีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ
Q2: ถ้าอยากเป็นนักบัญชีสาย ESG ต้องมีสกิลอะไรเพิ่มเติมบ้าง?
A: นอกจากความรู้พื้นฐานด้านบัญชีที่ต้องแน่นปึ้กแล้ว เราต้องเสริมทักษะอีกหลายด้านเลยนะ:
- Data Analytics: ต้องวิเคราะห์ข้อมูลที่ไม่ใช่ตัวเงินได้ มองหาแนวโน้มและความเชื่อมโยงให้เจอ
- Communication: ต้องสื่อสารเรื่องซับซ้อนให้คนอื่นเข้าใจง่าย ทั้งการเขียนรายงานและการนำเสนอ
- Critical Thinking: ต้องตั้งคำถามกับข้อมูลเสมอ “ตัวเลขนี้สมเหตุสมผลไหม?” “เบื้องหลังมันคืออะไร?”
- Business Acumen: ต้องเข้าใจภาพรวมของธุรกิจ เพื่อจะให้คำแนะนำเชิงกลยุทธ์ได้
Q3: แปลว่าต่อไปนี้นักบัญชีจะไม่ใช่แค่งานน่าเบื่อที่อยู่กับตัวเลขเหรอ?
A: ถูกต้องเลย! บทบาทใหม่นี้ทำให้นักบัญชีต้องลุกจากโต๊ะทำงาน ไปคุยกับคนหลากหลายแผนกมากขึ้น ต้องเข้าใจกระบวนการทำงานทั้งโรงงาน ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการแก้ปัญหา และที่สำคัญคือ งานของเราจะมี “Impact” ที่มองเห็นได้ชัดเจนต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม มันเป็นงานที่มีความหมายและน่าภูมิใจมากๆ
Q4: แล้วเราจะเตรียมตัวสำหรับอนาคตสายงานนี้ได้ยังไงบ้าง?
A: เริ่มได้ง่ายๆ ตั้งแต่ตอนนี้เลย!
- ติดตามข่าวสาร: ลองอ่านข่าวธุรกิจที่เกี่ยวกับ ESG, การเงินยั่งยืน (Sustainable Finance) ดู
- ส่องรายงานของจริง: ลองเข้าไปในเว็บไซต์ของบริษัทใหญ่ๆ ที่เราชื่นชอบ (เช่น SCG, PTT, หรือบริษัทเทคระดับโลก) แล้วหา “Sustainability Report” หรือ “รายงานความยั่งยืน” มาเปิดอ่านดู จะทำให้เห็นภาพชัดขึ้นมาก
- เรียนรู้เครื่องมือใหม่ๆ: ลองศึกษาโปรแกรมที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล เช่น Power BI, Tableau ไว้บ้างก็ดี
- เปิดใจเรียนรู้: อย่าปิดกั้นตัวเองว่าบัญชีมีแค่ตัวเลข แต่ให้มองว่ามันคือ “ภาษาของธุรกิจ” ที่สามารถใช้อธิบายได้ทุกเรื่อง รวมถึงเรื่องความยั่งยืนด้วย
อนาคตของวิชาชีพบัญชี: เมื่อความยั่งยืนคือ New Normal
สรุปง่ายๆ ก็คือ โลกของการบัญชีกำลังเกิดการปฏิวัติครั้งใหญ่ บทบาทของนักบัญชีกำลังขยายขอบเขตจากหลังบ้านมาอยู่หน้าบ้านมากขึ้น เราไม่ได้เป็นแค่คนบันทึกอดีต แต่กำลังเป็นส่วนสำคัญในการกำหนดทิศทางอนาคตขององค์กร
สำหรับเพื่อนๆ ที่กำลังเรียนสายวิทย์-คณิต หรือศิลป์-คำนวณ แล้วกำลังลังเลว่าจะเรียนต่ออะไรดี หรือเพื่อนๆ ที่มองว่าบัญชีเป็นวิชาที่น่าเบื่อ เราอยากให้ลองเปิดใจมองมันในมุมใหม่ บัญชีในยุค ESG ไม่ใช่แค่การทำตามกฎ แต่คือการใช้ข้อมูลและตัวเลขเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นให้กับโลกใบนี้
มันคือการผสมผสานระหว่างศาสตร์แห่งตัวเลข (Science) และศิลปะแห่งการสื่อสาร (Art) เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจไปสู่ความยั่งยืนอย่างแท้จริง และนี่คือบทบาทใหม่ที่ท้าทายและรอให้คนรุ่นใหม่อย่างพวกเราเข้าไปสร้างความแตกต่างครับ!
แล้วคุณล่ะ พร้อมที่จะเป็นนักบัญชี 2.0 ที่จะมาเปลี่ยนโลกแล้วหรือยัง?
















