ABC + AI: สูตรโกงการจัดสรรต้นทุนยุคใหม่ ที่จะเปลี่ยนวิธีคิดเรื่อง “กำไร” ไปตลอดกาล
เขียนโดย: รุ่นพี่คณะบัญชีฯ ที่เชื่อว่าข้อมูลคือพลัง
เฮ้ทุกคน! เคยทำโปรเจกต์กลุ่มแล้วรู้สึกมั้ยว่า… ทำไมเราทำงานหนักอยู่คนเดียว แต่ตอนได้คะแนนกลับได้เท่ากัน? หรือใครที่เคยลองขายของออนไลน์เล็กๆ น้อยๆ แล้วงงว่า “เอ๊ะ… หักลบกลบหนี้แล้วทำไมเงินเหลือแค่นี้? กำไรหายไปไหนหมด?”
ปัญหานี้แหละคือหัวใจของเรื่องที่เราจะคุยกันวันนี้ มันคือเรื่องของ “ต้นทุนที่มองไม่เห็น” บริษัทใหญ่ๆ ทั่วโลกก็เจอปัญหานี้เหมือนกัน และเครื่องมือที่พวกเขาเคยใช้ในการมองหาต้นทุนแฝงเหล่านี้ก็คือสิ่งที่เรียกว่า Activity-Based Costing (ABC) แต่บอกเลยว่ามันทั้งยาก ทั้งเหนื่อย ทั้งแพง จนหลายคนถอดใจ
แต่ยุคนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว! เมื่อเรามีผู้ช่วยสุดอัจฉริยะอย่าง AI (Artificial Intelligence) เข้ามา ทุกอย่างที่เคยเป็นไปไม่ได้ก็กลับง่ายขึ้น บทความนี้จะพาทุกคนไปสำรวจโลกใหม่ของการจัดสรรต้นทุน ที่ AI เข้ามาปลดล็อกพลังของ ABC ให้แม่นยำและเป็นอัตโนมัติอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เตรียมตัวให้พร้อม เพราะนี่อาจเป็นความรู้ที่จะทำให้โปรเจกต์หรือธุรกิจในฝันของเพื่อนๆ ประสบความสำเร็จก็ได้!
ย้อนรอยพื้นฐาน: ABC คืออะไรกันแน่? (ฉบับเข้าใจง่าย)
ก่อนจะไปเจอพระเอกอย่าง AI เรามาทำความรู้จักกับ ABC กันก่อนแบบเร็วๆ นึกภาพตามนะ…
สมมติว่าเราเปิดร้านคาเฟ่เล็กๆ ขายแค่ 2 อย่าง คือ “อเมริกาโน่เย็น” (ทำง่าย แค่กดกาแฟ-ใส่น้ำแข็ง-ใส่น้ำ) กับ “คาราเมลมัคคิอาโต้ปั่น” (ขั้นตอนเยอะมาก ต้องชงกาแฟ สตีมนม ทำคาราเมลซอส ปั่น льp ตกแต่งวิปครีม)
วิธีคิดต้นทุนแบบดั้งเดิม (Traditional Costing)
วิธีนี้จะเอาต้นทุนทางอ้อมทั้งหมด (เรียกว่า Overhead) เช่น ค่าเช่าร้าน ค่าไฟ ค่าน้ำ ค่าจ้างบาริสต้า มารวมกัน แล้วหารเฉลี่ยตามจำนวนแก้วที่ขายได้ สมมติค่า Overhead ทั้งหมด 10,000 บาท ขายได้ 100 แก้ว (อเมริกาโน่ 50, มัคคิอาโต้ 50) ต้นทุน Overhead ก็จะตกแก้วละ 100 บาทเท่ากัน
ปัญหา: มันไม่แฟร์! อเมริกาโน่ใช้เวลาทำ 1 นาที ใช้ไฟนิดเดียว แต่กลับต้องแบกรับต้นทุนค่าไฟค่าแรงเท่ากับมัคคิอาโต้ปั่นที่ใช้เวลาทำ 5 นาที ใช้เครื่องปั่นไฟแรงสูง แบบนี้เราจะไม่มีทางรู้เลยว่าเมนูไหนทำกำไรให้เราจริงๆ กันแน่
วิธีคิดต้นทุนแบบฐานกิจกรรม (Activity-Based Costing – ABC)
ABC บอกว่า “ไม่เอา! เราจะไม่หารเฉลี่ยแบบมักง่าย” แต่เราจะมองลึกลงไปที่ “กิจกรรม (Activities)” ที่เกิดขึ้นเพื่อสร้างสินค้าหรือบริการนั้นๆ ขึ้นมา แล้วปันส่วนต้นทุนตามกิจกรรมที่แต่ละสินค้าใช้ไปจริงๆ
- กิจกรรมที่ 1: การชงกาแฟ (ต้นทุน: ค่าไฟเครื่องชง, เวลาบาริสต้า) -> ทั้งสองเมนูใช้เท่ากัน
- กิจกรรมที่ 2: การเตรียมเครื่องดื่ม (ต้นทุน: เวลาบาริสต้า, ค่าไฟ) -> มัคคิอาโต้ใช้เยอะกว่ามาก (สตีมนม, ทำซอส)
- กิจกรรมที่ 3: การปั่น (ต้นทุน: ค่าไฟเครื่องปั่น, เวลาบาริสต้า) -> มีแค่มัคคิอาโต้ที่ใช้กิจกรรมนี้
- กิจกรรมที่ 4: การล้างอุปกรณ์ (ต้นทุน: ค่าน้ำ, เวลา) -> มัคคิอาโต้ใช้อุปกรณ์เยอะกว่า ก็ต้องใช้กิจกรรมนี้เยอะกว่า
พอคิดแบบนี้ เราอาจจะค้นพบว่าต้นทุนที่แท้จริงของอเมริกาโน่อาจจะแค่ 60 บาท แต่มัคคิอาโต้อาจจะสูงถึง 140 บาท! เห็นภาพชัดขึ้นเยอะเลยใช่มั้ย? นี่แหละคือพลังของ ABC ที่ทำให้เราเห็น “ต้นทุนที่แท้จริง” และตัดสินใจได้ดีขึ้น เช่น อาจจะต้องขึ้นราคามัคคิอาโต้ หรือหาทางลดขั้นตอนการทำลง
จุดอ่อนของ ABC: ทำไมไอเดียดีๆ ถึงไม่ค่อยมีใครใช้?
อ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนคงคิดว่า “โห เจ๋งขนาดนี้ ทำไมทุกบริษัทไม่ใช้ ABC กันล่ะ?” คำตอบคือ… เพราะมัน “โคตรจะยุ่งยาก” เลยน่ะสิ!
- เก็บข้อมูลมหาศาล: ลองนึกดูสิว่าถ้าไม่ใช่แค่ 2 เมนู แต่เป็นร้อยเมนู หรือในโรงงานที่มีสินค้าเป็นพันชิ้น การจะมานั่งจับเวลาทุกกิจกรรม เก็บข้อมูลทุกอย่าง มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
- ใช้คนและเวลาเยอะมาก: ต้องมีทีมงานคอยเก็บข้อมูล วิเคราะห์ สัมภาษณ์พนักงาน ซึ่งทั้งหมดนี้คือ “ต้นทุน” ที่เพิ่มขึ้นมาอีก
- ข้อมูลอาจไม่แม่นยำ: บ่อยครั้งที่การเก็บข้อมูลต้องอาศัยการ “ประมาณ” จากพนักงาน ซึ่งอาจจะไม่ตรงกับความเป็นจริง 100%
- ล้าสมัยเร็ว: กระบวนการทำงานเปลี่ยนไปตลอดเวลา การทำ ABC หนึ่งครั้งอาจใช้เวลาหลายเดือน พอทำเสร็จ อ้าว! บริษัทเปลี่ยนวิธีทำงานไปแล้ว ข้อมูลที่ได้มาก็เก่าไปซะแล้ว
ด้วยเหตุผลเหล่านี้ ABC เลยกลายเป็นเหมือน “ของดีในตำรา” ที่มีประโยชน์มากในทางทฤษฎี แต่ในทางปฏิบัติกลับทำได้ยากและไม่คุ้มค่า… จนกระทั่งการมาถึงของ AI
The Game Changer: AI เข้ามาปลดล็อกพลัง ABC ได้ยังไง?
AI ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงหุ่นยนต์เดินได้แบบในหนังนะ แต่หมายถึงระบบคอมพิวเตอร์อัจฉริยะ โดยเฉพาะสาย Machine Learning และ Data Analytics ที่สามารถเรียนรู้และตัดสินใจจากข้อมูลจำนวนมหาศาลได้เอง และนี่คือวิธีที่มันเข้ามาปฏิวัติ ABC
1. การเก็บข้อมูลอัตโนมัติ (Automated Data Collection)
ลืมการเดินไปจับเวลาหรือทำแบบสอบถามไปได้เลย! ในยุคดิจิทัล ทุกอย่างทิ้งร่องรอยของข้อมูล (Digital Footprints) ไว้หมด
- โรงงานอัจฉริยะ (Smart Factory): เซ็นเซอร์ IoT (Internet of Things) ที่ติดอยู่กับเครื่องจักรสามารถบอกได้เป๊ะๆ ว่าเครื่องจักร A ทำงานเพื่อผลิตสินค้า X ไปกี่ชั่วโมง ใช้ไฟไปเท่าไหร่
- ธุรกิจบริการ/ออฟฟิศ: ซอฟต์แวร์บริหารโปรเจกต์ (เช่น Asana, Jira) หรือแม้กระทั่ง Log การใช้งานโปรแกรมต่างๆ สามารถบอกได้ว่าพนักงานใช้เวลาไปกับ “กิจกรรม” การตอบอีเมลลูกค้า, การออกแบบ, หรือการประชุม ไปเท่าไหร่
- ธุรกิจ E-commerce: ระบบหลังบ้านสามารถเก็บข้อมูลได้ว่า ออเดอร์ประเภทไหนที่ต้องใช้เวลา “กิจกรรม” การแพ็คของนานกว่า หรือมี “กิจกรรม” การตอบคำถามลูกค้าก่อนซื้อมากกว่ากัน
AI จะทำหน้าที่เหมือนนักสืบดิจิทัลที่คอยรวบรวมข้อมูลเหล่านี้จากทุกแหล่งแบบเรียลไทม์และอัตโนมัติ ตัดปัญหาเรื่องความยุ่งยากและข้อมูลไม่แม่นยำไปได้เลย
2. การระบุกิจกรรมและตัวผลักดันต้นทุน (Identifying Activities & Cost Drivers)
บางครั้ง… แม้แต่มนุษย์ก็มองไม่เห็นว่ากิจกรรมอะไรกันแน่ที่ “ผลักดัน” ให้ต้นทุนสูงขึ้น AI ที่มีพลังของ Machine Learning สามารถวิเคราะห์ข้อมูลมหาศาลแล้วเจอ “รูปแบบ” ที่ซ่อนอยู่
ตัวอย่าง: AI อาจวิเคราะห์ข้อมูลการผลิตแล้วพบว่า “จำนวนครั้งที่เปลี่ยนสีในการพ่นสีรถยนต์” คือตัวผลักดันต้นทุน (Cost Driver) ที่สำคัญที่สุด เพราะทุกครั้งที่เปลี่ยนสี ต้องเสียเวลาล้างเครื่องและเสียสีทิ้งไปจำนวนมาก ซึ่งเป็นสิ่งที่การวิเคราะห์แบบเดิมๆ อาจมองข้ามไป
AI ช่วยให้เราเจาะลึกและเข้าใจต้นตอของต้นทุนได้แม่นยำขึ้นมาก
3. การปันส่วนต้นทุนแบบไดนามิกและเรียลไทม์ (Dynamic & Real-time Allocation)
จำปัญหาที่ว่าข้อมูล ABC ล้าสมัยเร็วได้มั้ย? AI แก้ปัญหานี้ได้อยู่หมัด! เพราะ AI สามารถอัปเดตโมเดลการคำนวณต้นทุนได้ตลอดเวลาเมื่อมีข้อมูลใหม่เข้ามา
สมมติว่าค่าไฟขึ้นราคาพรุ่งนี้ ระบบ ABC+AI ก็จะปรับปรุงต้นทุนของสินค้าแต่ละตัวที่ใช้ไฟฟ้าเยอะๆ ให้สูงขึ้นโดยอัตโนมัติ ผู้บริหารสามารถเห็นภาพต้นทุนที่เป็น “ปัจจุบัน” ที่สุด เพื่อตัดสินใจได้ทันท่วงที ไม่ต้องรอสรุปข้อมูลตอนสิ้นเดือนอีกต่อไป
4. การวิเคราะห์เชิงพยากรณ์และจำลองสถานการณ์ (Predictive & Simulation Analysis)
นี่คือส่วนที่เจ๋งที่สุด! AI ไม่ได้แค่บอกว่า “เกิดอะไรขึ้น” แต่ยังบอกได้ว่า “จะเกิดอะไรขึ้นถ้า…”
- จำลองสถานการณ์ (Simulation): “ถ้าเราเปลี่ยนไปใช้ซัพพลายเออร์วัตถุดิบรายใหม่ที่ถูกกว่า แต่ต้องใช้เวลาขนส่งนานขึ้น จะส่งผลกระทบต่อต้นทุนรวมของสินค้า A อย่างไร?” AI สามารถรันโมเดลจำลองเพื่อหาคำตอบให้เราได้
- พยากรณ์ (Prediction): “จากข้อมูลในอดีต สินค้าประเภทไหนมีแนวโน้มที่จะมีต้นทุนการบริการหลังการขายสูงขึ้นในไตรมาสหน้า?” AI ช่วยให้เราเตรียมตัวรับมือกับต้นทุนที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตได้
เห็นภาพชัดๆ กับ Case Study: ร้านเสื้อยืดออนไลน์ “T-Verse”
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น ลองมาดูเคสของร้าน “T-Verse” ที่ขายเสื้อยืดออนไลน์ มีสินค้า 2 ประเภท:
- เสื้อลาย Standard: ลายที่ออกแบบไว้แล้ว สกรีนเก็บไว้เป็นสต็อกเยอะๆ พร้อมส่ง
- เสื้อลาย Custom: ลูกค้าส่งลายมาให้ทำพิเศษ หรือให้ออกแบบให้ใหม่ ทำทีละตัว
ชีวิตก่อนมี AI + ABC
T-Verse ใช้วิธีคิดต้นทุนแบบง่ายๆ คือเอาต้นทุนค่าออกแบบ, ค่าการตลาด, ค่าดูแลลูกค้า, ค่าเช่าออฟฟิศ มารวมกันแล้วหารเฉลี่ยใส่เสื้อทุกตัว ผลออกมาคือดูเหมือนว่า “เสื้อลาย Custom” จะกำไรดีกว่า เพราะตั้งราคาขายได้สูงกว่ามาก
ชีวิตหลังใช้ AI + ABC
T-Verse นำระบบ AI เข้ามาช่วยวิเคราะห์ข้อมูลจากหลายๆ แหล่ง:
- AI ติดตามเวลา: วิเคราะห์ Log จากโปรแกรมออกแบบ (เช่น Adobe Illustrator) พบว่า “กิจกรรมออกแบบลาย Custom” 1 ตัว ใช้เวลาดีไซเนอร์เฉลี่ย 3 ชั่วโมง ขณะที่ลาย Standard ใช้เวลาออกแบบครั้งเดียวแล้วจบ
- AI วิเคราะห์แชท: ประมวลผลแชทลูกค้าจาก Facebook Page และ LINE OA พบว่าลูกค้าที่สั่งลาย Custom มี “กิจกรรมการสอบถามและแก้ไขงาน” มากกว่าลูกค้าทั่วไปถึง 10 เท่า! ซึ่งนี่คือต้นทุนเวลาของแอดมิน
- AI วิเคราะห์การผลิต: ข้อมูลจากเครื่องสกรีนดิจิทัลชี้ว่า “กิจกรรมการตั้งค่าเครื่อง” สำหรับงาน Custom 1 ตัว ใช้เวลานานเกือบเท่าการสกรีนงาน Standard 20 ตัว
ผลลัพธ์ที่น่าตกใจ: เมื่อปันส่วนต้นทุนตามกิจกรรมที่เกิดขึ้นจริง T-Verse พบว่า เสื้อลาย Custom แทบไม่เหลือกำไรเลย หรือบางออเดอร์ถึงขั้นขาดทุน! เพราะมัน “กิน” ทรัพยากร (เวลาดีไซเนอร์, เวลาแอดมิน, เวลาตั้งค่าเครื่อง) ไปอย่างมหาศาล
การตัดสินใจที่เปลี่ยนไป: จากข้อมูลนี้ T-Verse จึงสามารถตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาด เช่น:
- กำหนดราคาเสื้อลาย Custom ใหม่ให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง
- สร้าง Template หรือระบบให้ลูกค้าออกแบบลายเองได้ง่ายขึ้น เพื่อลด “กิจกรรมการออกแบบและแก้ไข”
- ทำโปรโมชันส่งเสริมการขาย “เสื้อลาย Standard” ที่เป็นตัวทำกำไรหลักของร้าน
นี่คือตัวอย่างที่ชัดเจนว่า การเข้าใจต้นทุนที่แท้จริงสามารถเปลี่ยนทิศทางของธุรกิจได้เลย
Q&A ถามมา-ตอบไป สไตล์เด็กบัญชี (Answer Engine Optimization)
เราลองรวบรวมคำถามที่เพื่อนๆ น่าจะสงสัยกันมาตอบให้เคลียร์ๆ ตรงนี้เลย!
Q1: ฟังดูเจ๋งมาก แต่การเริ่มใช้ ABC + AI ต้องลงทุนเยอะมากแน่ๆ เลยใช่ไหม?
A: ในอดีตใช่เลย แต่ปัจจุบันไม่ใช่แล้ว! ด้วยเทคโนโลยีคลาวด์และซอฟต์แวร์แบบสมัครสมาชิก (SaaS – Software as a Service) ทำให้บริษัทเล็กๆ หรือ SME ในไทยก็สามารถเข้าถึงเครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านี้ได้ในราคาที่จับต้องได้มากขึ้น ไม่จำเป็นต้องสร้างระบบเองทั้งหมดตั้งแต่ต้น สามารถเริ่มจากเล็กๆ วัดผล แล้วค่อยๆ ขยายก็ได้
Q2: ถ้า AI ทำได้ขนาดนี้ แล้วนักบัญชีจะตกงานไหม?
A: ไม่ตกงาน แต่ “บทบาทจะเปลี่ยนไป” อย่างสิ้นเชิง! จากเดิมที่นักบัญชีอาจจะต้องใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการรวบรวมข้อมูลและคำนวณตัวเลข (ซึ่งเป็นงานที่ AI ทำได้ดีกว่า) บทบาทของนักบัญชีจะอัปเกรดไปสู่การเป็น “นักวิเคราะห์ข้อมูลและที่ปรึกษาเชิงกลยุทธ์” คือเป็นคนนำข้อมูลเชิงลึกที่ AI หามาได้ ไปตีความ เล่าเรื่อง และให้คำแนะนำกับผู้บริหารเพื่อตัดสินใจทางธุรกิจ นักบัญชีจะกลายเป็นฮีโร่ที่ใช้ดาบข้อมูล ไม่ใช่คนที่นั่งกดเครื่องคิดเลขอีกต่อไป
Q3: ถ้าธุรกิจของฉันยังเป็นธุรกิจเล็กๆ มีข้อมูลไม่เยอะ จะใช้แนวคิดนี้ได้ไหม?
A: ได้แน่นอน! หัวใจสำคัญไม่ใช่ปริมาณข้อมูล แต่คือ “คุณภาพและการเริ่มเก็บข้อมูลอย่างมีโครงสร้าง” แค่เริ่มจากการใช้ Google Sheets บันทึกเวลาที่ใช้ในแต่ละโปรเจกต์ หรือใช้ระบบ POS ที่บันทึกข้อมูลการขายอย่างละเอียด ก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีแล้ว AI ในอนาคตจะยิ่งเก่งขึ้นและต้องการข้อมูลเริ่มต้นน้อยลง สิ่งสำคัญคือการสร้าง “วัฒนธรรมที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (Data-Driven Culture)” ตั้งแต่วันแรก
Q4: มันซับซ้อนเกินไปสำหรับคนทั่วไปที่ไม่ใช่สายเทคฯ หรือสายบัญชีรึเปล่า?
A: เทคโนโลยีเบื้องหลังอาจจะซับซ้อน แต่เครื่องมือสำหรับผู้ใช้งาน (User Interface) ในปัจจุบันถูกออกแบบมาให้ใช้งานง่ายขึ้นเรื่อยๆ นึกภาพเหมือนเราใช้แอปฯ ในมือถือ เราไม่จำเป็นต้องเข้าใจโค้ดโปรแกรมทั้งหมดก็สามารถใช้งานมันได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ในอนาคตจะมีเครื่องมือที่ทำให้เราสามารถถามคำถามธุรกิจเป็นภาษาคนธรรมดา แล้ว AI จะไปวิเคราะห์ข้อมูลและหาคำตอบมาให้เราเอง
บทสรุป: ไม่ใช่แค่เรื่องตัวเลข แต่คืออนาคตของการตัดสินใจ
การผนึกกำลังกันระหว่าง Activity-Based Costing (ABC) และ AI ไม่ใช่แค่การอัปเกรดวิธีการทางบัญชี แต่มันคือการปฏิวัติวิธีที่เรามอง “คุณค่า” และ “ต้นทุน” ในทุกๆ อย่างที่เราทำ
มันสอนให้เรารู้ว่าไม่ใช่ทุกกิจกรรมจะสร้างคุณค่าเท่ากัน และไม่ใช่ทุกผลิตภัณฑ์จะใช้ทรัพยากรเท่ากัน การมองเห็นต้นทุนที่แท้จริงคือการเปิดไฟให้สว่างในห้องที่เคยมืดมิด ทำให้เราสามารถตัดสินใจได้เฉียบคมขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการตั้งราคา การปรับปรุงกระบวนการ หรือการเลือกที่จะโฟกัสในสิ่งที่สร้างกำไรให้เราจริงๆ
สำหรับพวกเราในวัยเรียน นี่อาจจะยังดูเป็นเรื่องไกลตัว แต่แนวคิดนี้สามารถเอาไปปรับใช้ได้แม้กระทั่งกับการบริหารเวลาในการอ่านหนังสือหรือการทำกิจกรรมต่างๆ เพื่อให้เราใช้ “ทรัพยากร” ที่มีอยู่อย่างจำกัด (นั่นก็คือเวลาและพลังงานของเรา) ได้อย่างคุ้มค่าที่สุด
โลกธุรกิจกำลังหมุนไปข้างหน้าด้วยพลังของข้อมูล และใครที่เข้าใจและใช้ข้อมูลได้ดีกว่า ก็ย่อมเป็นผู้ชนะในสนามแข่งขันนี้… แล้วเพื่อนๆ ล่ะ พร้อมที่จะใช้ “สูตรโกง” นี้แล้วหรือยัง?
อาจารย์ยุทธนา แช่มชูกุล อาจารย์ประจำคณะบัญชี มหาวิทยาลัยศรีปทุม
















