วางแผนภาษี : สกิลลับเจ้าของธุรกิจ Gen Z
ชาว Gen Z ผู้มีความฝันและไฟแรงทุกคน!
เคยหรือเปล่า? ที่แบบ… ขายของออนไลน์ใน IG, TikTok จนยอดปังๆ มีเงินเข้าบัญชีรัวๆ หรือเป็น Content Creator ที่มีสปอนเซอร์เจ้าแรกเข้าแล้ว… ความรู้สึกโคตรดีใจเลยใช่ป่ะ? แต่แล้ว… ก็มีคำๆ นึงลอยเข้ามาในหัว “ภาษี”… แค่ได้ยินก็รู้สึกเหมือนเป็นตัวร้ายในเกมที่โผล่มาตอนเรากำลังจะชนะยังไงยังงั้น
แต่เดี๋ยวก่อน! ถ้าเราบอกว่า “ภาษี” ไม่ใช่ปีศาจ แต่เป็นเหมือน ‘สกิลติดตัว’ ที่จะทำให้ธุรกิจของเรา ‘โปร’ ขึ้นไปอีกเลเวลล่ะ? วันนี้ในฐานะรุ่นพี่มหาลัยที่เคยผ่านจุดนั้นมาก่อน จะมาแชร์ ‘พลังของการวางแผนภาษี’ แบบเข้าใจง่าย ไม่น่าเบื่อ และเอาไปใช้ได้จริง ให้เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ทุกคนได้อัปเลเวลธุรกิจของตัวเองกัน!
“ภาษี” ไม่ใช่ปีศาจ! ทำความเข้าใจพื้นฐานฉบับเด็กจบใหม่ (แต่ใจเป็นเถ้าแก่)
ก่อนอื่นเลย เรามาเคลียร์กันก่อนว่าเราจ่ายภาษีไปทำไม? พูดง่ายๆ มันคือเงินที่เราทุกคนช่วยกันใส่ลงในกระปุกส่วนกลางของประเทศ เพื่อเอาไปสร้างถนนดีๆ โรงพยาบาล โรงเรียน หรือแม้แต่ Wi-Fi ฟรีตามที่สาธารณะที่เราใช้กันนั่นแหละ การจ่ายภาษีจึงเป็นการแสดงความรับผิดชอบในฐานะพลเมืองคนหนึ่งของประเทศไทย
แล้วใครคือคนเก็บเงิน? ในไทยเรามีหน่วยงานหลักที่ชื่อว่า “กรมสรรพากร” เป็นเหมือนผู้ดูแลกระปุกใบใหญ่นี้นั่นเอง
สำหรับเจ้าของธุรกิจมือใหม่แบบเราๆ ภาษีหลักๆ ที่ต้องรู้จักไว้มี 3 ตัวท็อป คือ:
- ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (Personal Income Tax – PIT): นี่คือตัวเอกของเราเลย! ถ้าเราทำธุรกิจในชื่อของตัวเองคนเดียว (ยังไม่ได้จดทะเบียนเป็นบริษัท) รายได้ทั้งหมดที่เราหามาได้จากการขายของ, ค่าสปอนเซอร์, ค่ายิงแอด จะถูกนำมาคำนวณภาษีตัวนี้แหละ ซึ่งจะยื่นปีละ 1 ครั้ง
- ภาษีมูลค่าเพิ่ม (Value Added Tax – VAT): เคยเห็น +7% ในใบเสร็จมั้ย? นั่นแหละ VAT! ถ้าธุรกิจของเรามีรายได้จากการขายสินค้าหรือบริการเกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี เรามีหน้าที่ต้องไปจดทะเบียน VAT และเรียกเก็บ 7% จากลูกค้าเพื่อนำส่งให้กรมสรรพากร (ถ้ายังไม่ถึงก็ยังไม่ต้องกังวลนะ)
- ภาษีเงินได้นิติบุคคล (Corporate Income Tax – CIT): อันนี้เป็นเลเวลถัดไป ถ้าธุรกิจเราโตมากๆ แล้วเราตัดสินใจจดทะเบียนเป็น “บริษัท” เราจะเปลี่ยนมาเสียภาษีตัวนี้แทนบุคคลธรรมดา ซึ่งมีวิธีการคำนวณที่ต่างออกไป วันนี้เราจะเน้นที่ตัวแรกกันก่อน เพราะมันใกล้ตัวพวกเราที่สุด
วางแผนภาษี vs. หนีภาษี: เส้นบางๆ ที่คนเจ๋งๆ เขาไม่ข้ามกัน
มีสองคำที่ฟังดูคล้ายกัน แต่ความหมายต่างกันราวฟ้ากับเหว และสำคัญมากที่เราต้องแยกให้ออก:
การวางแผนภาษี (Tax Planning): คือการใช้สิทธิประโยชน์และช่องทางที่ ถูกกฎหมาย ทุกอย่าง เพื่อทำให้เราเสียภาษีน้อยลงที่สุดเท่าที่จะทำได้ มันคือการใช้ ‘สมอง’ และความเข้าใจในกฎเกณฑ์ เช่น การเก็บใบเสร็จค่าใช้จ่ายต่างๆ มาหักออกจากรายได้, การใช้สิทธิลดหย่อนส่วนตัวต่างๆ นี่คือสิ่งที่คนฉลาดและโปรเฟสชันนอลเขาทำกัน!
การหนีภาษี (Tax Evasion): คือการจงใจทำผิดกฎหมายเพื่อไม่ต้องจ่ายภาษี เช่น โกหกว่าไม่มีรายได้, สร้างค่าใช้จ่ายปลอมๆ ขึ้นมา การทำแบบนี้เป็นสิ่ง ผิดกฎหมายร้ายแรง มีโทษทั้งจำคุกและปรับเงินมหาศาล แถมยังทำลายความน่าเชื่อถือของธุรกิจเราในระยะยาวอีกด้วย… ไม่คุ้มเลยจริงๆ
จำไว้เสมอว่า “การเป็นเจ้าของธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ ไม่ใช่แค่การหาเงินเก่ง แต่คือการบริหารเงินเป็นและทำทุกอย่างให้ถูกต้อง”
Mission Start! เริ่มต้นวางแผนภาษีได้ยังไง? ปฏิบัติการอัปสกิลเจ้าของธุรกิจ
โอเค! ทฤษฎีพอแล้ว มาถึงภาคปฏิบัติที่ทุกคนรอคอยกันดีกว่า จะเริ่มต้นวางแผนภาษีฉบับ Gen Z ต้องทำยังไงบ้าง? ลุยเลย!
สเต็ปที่ 1: แยกบัญชี! คือจุดเริ่มต้นของความโปร
นี่คือกฎเหล็กข้อแรกเลย! หยุดใช้บัญชีส่วนตัวรับเงินค่าขนมกับเงินค่าขายของปนกันได้แล้ว! ให้เปิดบัญชีธนาคารใหม่ 1 บัญชีสำหรับธุรกิจโดยเฉพาะ อาจจะเป็นบัญชีในชื่อเรานี่แหละ แต่ใช้สำหรับรับ-จ่ายเงินที่เกี่ยวกับธุรกิจเท่านั้น
ทำไมต้องทำ?
- เห็นภาพชัดเจน: เรารู้ได้ทันทีว่าเดือนนี้มีเงินเข้าเท่าไหร่ จ่ายอะไรไปบ้าง กำไรจริงเท่าไหร่ ไม่ต้องมานั่งงงกับสลิปค่าชานมไข่มุก
- ง่ายต่อการจัดการ: เวลาจะคำนวณรายรับ-รายจ่ายเพื่อยื่นภาษี เราแค่ดูจาก Statement บัญชีนี้บัญชีเดียว จบ!
- สร้างความน่าเชื่อถือ: ดูเป็นมืออาชีพมากขึ้นเยอะเลยนะ!
สเต็ปที่ 2: เก็บทุกบิล! ทุกใบเสร็จ! คือไอเทมลดหย่อนภาษีชั้นดี
เปลี่ยนความคิดซะใหม่! บิลและใบเสร็จไม่ใช่ขยะ แต่มันคือ ‘ไอเทมลดหย่อนภาษี’ ที่มีค่าเหมือนทอง! ค่าใช้จ่ายทุกบาททุกสตางค์ที่เกี่ยวกับการทำธุรกิจของเรา สามารถนำไป “หัก” ออกจากรายได้ ทำให้รายได้ที่ต้องนำไปคำนวณภาษีของเราลดลง ผลก็คือ… เราเสียภาษีน้อยลงนั่นเอง!
ตัวอย่างค่าใช้จ่ายที่เก็บได้ (สำหรับธุรกิจในไทย):
- ต้นทุนสินค้า: บิลที่เราไปซื้อของมาสต็อกเพื่อขาย
- ค่าการตลาด/โฆษณา: ค่ายิงแอด Facebook, โปรโมทโพสต์ใน IG, ค่าโฆษณา TikTok
- ค่าแพ็กของ/ค่าส่ง: ค่ากล่องพัสดุ, บับเบิ้ลกันกระแทก, ค่าส่งไปรษณีย์/Kerry/Flash
- ค่าอุปกรณ์/ซอฟต์แวร์: ค่าโปรแกรมแต่งรูป (Canva Pro), ค่าสมัครใช้แอปจัดการสต็อก
- ค่าโทรศัพท์/อินเทอร์เน็ต: ส่วนที่ใช้ในการคุยกับลูกค้า, ตอบแชท (อาจจะต้องแบ่งสัดส่วนกับที่ใช้ส่วนตัว)
- ค่าเดินทาง: ค่าน้ำมันรถไปส่งของ, ค่าเดินทางไปซื้อของ (ต้องมีหลักฐานชัดเจน)
Pro-Tip: ถ่ายรูปใบเสร็จทุกใบเก็บไว้ในอัลบั้มแยกในมือถือ หรืออัปโหลดเก็บไว้ใน Google Drive เลย ป้องกันการสูญหายหรือหมึกจาง
สเต็ปที่ 3: รู้จัก “ค่าลดหย่อนส่วนตัว” พลังพิเศษที่รัฐให้มา
นอกจากค่าใช้จ่ายธุรกิจแล้ว กรมสรรพากรยังมี “ค่าลดหย่อน” ส่วนตัวให้เราอีกเพียบ! เป็นเหมือนโบนัสพิเศษที่เราต้องใช้สิทธิ์ให้ครบ ตัวอย่างฮิตๆ ก็เช่น:
- ค่าลดหย่อนส่วนตัว: 60,000 บาท (ทุกคนได้สิทธิ์นี้)
- ค่าลดหย่อนเลี้ยงดูบิดามารดา: คนละ 30,000 บาท (ถ้าท่านอายุเกิน 60 และมีรายได้ไม่เกินเกณฑ์)
- เบี้ยประกันชีวิต / ประกันสุขภาพ: ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกินที่กฎหมายกำหนด
- เงินบริจาค: ให้กับวัด, โรงพยาบาล, มูลนิธิที่จดทะเบียน (บางที่ลดหย่อนได้ 2 เท่า!)
- กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) / กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF): เป็นการลงทุนระยะยาวที่ได้ลดหย่อนภาษีด้วย (อันนี้แอดวานซ์ขึ้นมาหน่อย แต่รู้ไว้ไม่เสียหาย)
การรู้จักค่าลดหย่อนเหล่านี้ จะช่วยให้เราประหยัดภาษีไปได้อีกเยอะมาก!
สเต็ปที่ 4: ใช้เทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์
เราเป็น Gen Z นะ! เรื่องเทคโนโลยีต้องมา! ไม่ต้องใช้สมุดบัญชีหนาๆ แบบสมัยก่อนแล้ว เดี๋ยวนี้มีเครื่องมือเจ๋งๆ เยอะมาก:
- Google Sheets / Excel: ฟรีและดีที่สุดสำหรับมือใหม่ สร้างตารางง่ายๆ บันทึกรายรับ-รายจ่ายในแต่ละวัน
- แอปพลิเคชันบัญชี: มีแอปฯ บัญชีสำหรับธุรกิจเล็กๆ มากมายในไทย ที่ช่วยบันทึกข้อมูล, ออกใบเสร็จ และสรุปยอดให้เราอัตโนมัติ ลองค้นหาดูได้เลย
- Mobile Banking App: ใช้ฟีเจอร์สรุปยอดของแอปฯ ธนาคารเพื่อดูภาพรวมการใช้จ่ายในแต่ละเดือน
บทสรุป: ภาษีไม่ใช่จุดจบ แต่คือจุดเริ่มต้นของความโปร
เห็นมั้ยว่าการ “วางแผนภาษี” ไม่ได้น่ากลัวหรือซับซ้อนอย่างที่คิดเลย มันเป็นเรื่องของตรรกะ, การจัดการ, และการสร้างวินัยที่ดีให้กับตัวเองและธุรกิจของเรา
การที่เราใส่ใจเรื่องภาษีตั้งแต่แรก ไม่ใช่แค่การทำตามกฎหมาย แต่มันคือการบอกกับตัวเองและโลกว่า “เราจริงจังกับธุรกิจนี้” มันคือการสร้างเกราะป้องกันความเสี่ยง และเป็นบันไดขั้นสำคัญที่จะพาธุรกิจเล็กๆ ของเราเติบโตไปเป็นธุรกิจที่ยิ่งใหญ่และยั่งยืนในอนาคต
ดังนั้น อย่ามองว่าภาษีคือภาระ แต่จงมองว่ามันคือ Power-Up Skill ที่จะทำให้เราเป็นเจ้าของธุรกิจ Gen Z ที่ทั้งเก่ง, ฉลาด, และมีความรับผิดชอบอย่างแท้จริง เพราะการวางแผนภาษีที่ดี คือการเคารพความฝันของตัวเองนั่นเอง! ลุยเลย!