อัปเดตสิทธิลดหย่อนภาษีล่าสุด: กองทุน ประกัน และค่าใช้จ่ายที่วัยรุ่นควรรู้!
เฮ้เพื่อนๆ! เราในฐานะรุ่นพี่มหา’ลัย ที่เริ่มมองๆ เรื่องอนาคต การทำงาน และแน่นอน…เรื่องเงินๆ ทองๆ บอกเลยว่ามีเรื่องนึงที่ตอนแรกฟังแล้วดูน่ากลัวมาก แต่พอได้ลองทำความเข้าใจแล้วกลับรู้สึกว่ามันคือ ‘บัฟ’ หรือ ‘สกิลติดตัว’ ที่โครตเจ๋งเลย นั่นก็คือเรื่อง “ภาษีและการลดหย่อนภาษี” นั่นเอง!
หลายคนอาจจะคิดว่า “โห…ยังเรียนอยู่เลย จะรีบรู้ไปทำไม?” หรือ “เรื่องภาษีเป็นเรื่องของผู้ใหญ่หรือเปล่า?” เราอยากจะบอกว่า ยิ่งรู้เร็วยิ่งได้เปรียบ! การเข้าใจเรื่องนี้ตั้งแต่ตอนนี้ เปรียบเหมือนเราได้แผนที่สมบัติก่อนใคร พอถึงเวลาที่เรามีรายได้ครั้งแรก ไม่ว่าจะจากงานพาร์ทไทม์ ฟรีแลนซ์ หรือเงินเดือนก้อนแรก เราจะสามารถวางแผนการเงินได้เฉียบกว่าเพื่อนรุ่นเดียวกันเยอะเลย บทความนี้จะมาแปลเรื่องยากๆ ให้เป็นภาษาชาวเรากันเอง พร้อมอัปเดตข้อมูลล่าสุดแบบจุกๆ ไปเลย!
Part 1: ภาษี 101 – ปูพื้นฐานก่อนจะไปต่อ
ก่อนจะไปดูว่าอะไรลดหย่อนได้บ้าง เรามาทำความเข้าใจภาพใหญ่กันก่อนแบบเร็วๆ
ภาษีคืออะไร? จ่ายไปทำไม?
ภาษี ก็คือเงินที่พวกเรา (ในอนาคตอันใกล้) ที่มีรายได้ ต้องแบ่งจ่ายให้กับรัฐบาล เพื่อให้รัฐนำเงินส่วนนี้ไปพัฒนาประเทศ เช่น สร้างถนน โรงพยาบาล โรงเรียน จ่ายเงินเดือนให้ข้าราชการที่มาบริการเรา พูดง่ายๆ คือเป็นค่าส่วนกลางในการอยู่ร่วมกันในสังคมนั่นเอง
แล้ว “ลดหย่อนภาษี” คืออะไร?
นี่แหละคือพระเอกของเรา! การลดหย่อนภาษี ไม่ใช่การหนีภาษีนะ แต่เป็น “สิทธิ” ที่กฎหมายให้เราสามารถนำค่าใช้จ่ายบางอย่าง ไปหักออกจากรายได้รวมของเราได้ ทำให้เงินส่วนที่ต้องนำไปคำนวณภาษีมันน้อยลง ผลก็คือ…เราจะเสียภาษีน้อยลง หรืออาจจะไม่ต้องเสียเลยก็ได้! มันคือเครื่องมือชั้นดีในการวางแผนการเงิน
สูตรง่ายๆ ที่ต้องจำให้ขึ้นใจคือ:
(รายได้ทั้งปี – ค่าใช้จ่าย) – ค่าลดหย่อน = เงินได้สุทธิ
เราจะเสียภาษีจากก้อน “เงินได้สุทธิ” นี่แหละ เห็นมั้ยว่ายิ่งเรามี “ค่าลดหย่อน” เยอะเท่าไหร่ ตัวเลขเงินได้สุทธิก็น้อยลงเท่านั้น!
Part 2: เปิดคลังแสง! ไอเทมลดหย่อนภาษีฉบับอัปเดตล่าสุด
เอาล่ะ! มาเข้าเรื่องไอเทมลับที่เราจะใช้เป็นค่าลดหย่อนกันดีกว่า เราจะแบ่งเป็น 3 หมวดหมู่หลักๆ ที่ทุกคนควรรู้จักไว้
หมวดที่ 1: กองทุนรวม – ออมเงินให้โต แถมได้ลดภาษี
การลงทุนในกองทุนรวมลดหย่อนภาษี เหมือนการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวเลย คือ 1) เงินของเราได้เติบโตในระยะยาว และ 2) นำเงินที่ลงทุนไปลดหย่อนภาษีได้ด้วย กองทุนหลักๆ ที่ฮิตๆ กันมี 3 ตัวนี้เลย
1. SSF (Super Savings Fund) – กองทุนเพื่อการออมระยะยาว
- เหมาะกับใคร: คนที่อยากออมเงินก้อนใหญ่ในระยะกลางถึงยาว มองหาการลงทุนที่ไม่ต้องผูกมัดไปจนถึงเกษียณ
- เงื่อนไขหลัก: ต้องถือหน่วยลงทุนไว้อย่างน้อย 10 ปีเต็ม นับจากวันที่ซื้อ (แบบวันชนวัน)
- สิทธิลดหย่อน: ลดหย่อนได้ 30% ของเงินได้ แต่สูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท
- ทริคจากรุ่นพี่: SSF มีนโยบายการลงทุนหลากหลายมาก ตั้งแต่เสี่ยงต่ำ (ตราสารหนี้) ไปจนถึงเสี่ยงสูง (หุ้นไทย, หุ้นต่างประเทศ) เราสามารถเลือกให้เข้ากับสไตล์ความเสี่ยงที่เรารับได้เลย เหมาะมากสำหรับเป็นเป้าหมายเก็บเงิน 10 ปี เช่น เก็บเงินดาวน์บ้าน หรือเรียนต่อปริญญาโทในอนาคต
2. RMF (Retirement Mutual Fund) – กองทุนเพื่อวัยเกษียณสุดชิล
- เหมาะกับใคร: คนที่มองการณ์ไกล วางแผนเกษียณแบบคูลๆ อยากมีเงินใช้สบายๆ ตอนแก่
- เงื่อนไขหลัก: ต้องลงทุนต่อเนื่อง (อย่างน้อยปีเว้นปี) และจะขายคืนได้เมื่อเราอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ และลงทุนมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี
- สิทธิลดหย่อน: ลดหย่อนได้ 30% ของเงินได้ แต่สูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท (เมื่อรวมกับกองทุนเพื่อการเกษียณอื่นๆ เช่น SSF, กบข., ประกันบำนาญ)
- ทริคจากรุ่นพี่: RMF เป็นการลงทุนระยะยาวววววมาก ทำให้มีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ดีกว่าในระยะยาว และเป็นการสร้างวินัยการออมที่ดีสุดๆ ลองคิดภาพเราอายุ 55 แล้วมีเงินก้อนโตๆ จาก RMF ไว้ใช้เที่ยวรอบโลกดูสิ!
3. Thai ESG (Thailand ESG Fund) – กองทุนคนรุ่นใหม่ ใส่ใจโลก
- เหมาะกับใคร: สายรักษ์โลก! คนที่อยากให้เงินลงทุนของเราไปสนับสนุนบริษัทที่ดี ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม สังคม และมีธรรมาภิบาล (ESG = Environmental, Social, Governance)
- เงื่อนไขหลัก: ต้องถือหน่วยลงทุนไว้อย่างน้อย 8 ปีเต็ม นับจากวันที่ซื้อ
- สิทธิลดหย่อน: ลดหย่อนได้ 30% ของเงินได้ แต่สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท (วงเงินนี้แยกต่างหากจากกลุ่ม SSF/RMF ด้วยนะ!)
- ทริคจากรุ่นพี่: นี่คือน้องใหม่ล่าสุดที่ออกมาเพื่อคนรุ่นใหม่โดยเฉพาะเลย! เราได้ทั้งลงทุนในบริษัทที่กำลังเป็นเทรนด์ของโลก ได้ทั้งลดหย่อนภาษี แถมยังได้เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้โลกดีขึ้นอีกด้วย เจ๋งสุดๆ
หมวดที่ 2: ประกัน – สร้างเกราะป้องกันให้ชีวิต พร้อมสิทธิพิเศษทางภาษี
ประกันก็เป็นอีกหนึ่งไอเทมสำคัญ นอกจากจะช่วยคุ้มครองเราจากเหตุการณ์ไม่คาดฝันแล้ว เบี้ยประกันที่จ่ายไปก็ยังเอามาลดหย่อนภาษีได้อีกด้วย
1. ประกันชีวิตทั่วไป
- คอนเซ็ปต์: เป็นการสร้างหลักประกันให้ครอบครัว ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเรา คนข้างหลังจะได้ไม่ลำบาก
- เงื่อนไข: ต้องเป็นกรมธรรม์ที่มีระยะเวลาคุ้มครอง 10 ปีขึ้นไป
- สิทธิลดหย่อน: ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท
2. ประกันสุขภาพ
- คอนเซ็ปต์: ช่วยจ่ายค่ารักษาพยาบาลเวลาเราเจ็บป่วย ไม่สบาย เข้าโรงพยาบาล บอกเลยว่าจำเป็นมาก!
- สิทธิลดหย่อน: ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 25,000 บาท
- ข้อควรรู้: เมื่อนำไปรวมกับประกันชีวิตทั่วไปแล้ว ต้องไม่เกิน 100,000 บาท
3. ประกันชีวิตแบบบำนาญ
- คอนเซ็ปต์: คล้ายๆ RMF คือการออมเพื่อวัยเกษียณ แต่มาในรูปแบบประกัน ที่การันตีว่าเราจะมีเงินใช้รายเดือน/รายปี ไปจนแก่
- สิทธิลดหย่อน: ลดหย่อนได้ 15% ของเงินได้ แต่สูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท และเมื่อรวมกับกองทุนเพื่อการเกษียณอื่นๆ (RMF, SSF ฯลฯ) ต้องไม่เกิน 500,000 บาท
หมวดที่ 3: ค่าใช้จ่ายส่วนตัวและนโยบายรัฐ – สิ่งใกล้ตัวที่ลดหย่อนได้
หมวดนี้คือค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันและสิทธิพื้นฐานที่หลายคนอาจไม่รู้ว่าเอามาลดหย่อนได้ด้วยนะ!
ค่าลดหย่อนส่วนตัวและครอบครัว
- ค่าลดหย่อนส่วนตัว: ทุกคนที่มีรายได้ ได้สิทธินี้ทันที 60,000 บาท
- ค่าลดหย่อนคู่สมรส: หากคู่สมรสของเราไม่มีรายได้ ลดหย่อนได้อีก 60,000 บาท
- ค่าลดหย่อนบุตร / ค่าฝากครรภ์และคลอดบุตร: สำหรับคนที่มีครอบครัวในอนาคต ก็มีสิทธิตรงนี้ด้วย
- ค่าอุปการะเลี้ยงดูพ่อแม่: หากเราเลี้ยงดูพ่อแม่ที่อายุ 60 ปีขึ้นไปและมีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาท/ปี ก็ลดหย่อนได้คนละ 30,000 บาท
ดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย (ดอกเบี้ยบ้าน)
อันนี้อาจจะดูไกลตัวพวกเราไปหน่อย แต่รู้ไว้ไม่เสียหาย! ในอนาคตถ้าเรากู้เงินซื้อบ้านหรือคอนโด ดอกเบี้ยที่เราจ่ายในแต่ละปี สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้สูงสุดถึง 100,000 บาท
เงินบริจาค
สายบุญ สายทำดีต้องรู้! เงินที่เราบริจาคให้มูลนิธิ สถานศึกษา ศาสนสถาน โรงพยาบาล สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้
- บริจาคทั่วไป: ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 10% ของเงินได้หลังหักค่าลดหย่อนอื่นๆ
- บริจาคพิเศษ (การศึกษา, กีฬา, โรงพยาบาลรัฐ): ลดหย่อนได้ถึง 2 เท่า ของเงินที่บริจาคจริง!
โครงการ Easy E-Receipt (อัปเดตล่าสุดปี 2567)
นี่คือโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาลที่พวกเราใช้ประโยชน์ได้เต็มๆ!
- คอนเซ็ปต์: เมื่อเราซื้อสินค้าหรือบริการจากร้านค้าที่อยู่ในระบบภาษีและสามารถออกใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice) ได้ เราสามารถนำค่าใช้จ่ายนั้นมาลดหย่อนภาษีได้
- ระยะเวลา: 1 ม.ค. – 15 ก.พ. 2567
- สิทธิลดหย่อน: ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง สูงสุดถึง 50,000 บาท!
- ทริคจากรุ่นพี่: ใครที่ต้องซื้อของชิ้นใหญ่อยู่แล้ว เช่น โน้ตบุ๊กใหม่, โทรศัพท์มือถือ, หรือคอร์สเรียนต่างๆ ลองเช็กกับร้านค้าก่อนว่าออก e-Tax Invoice ได้ไหม ถ้าได้ ก็เท่ากับเราได้ส่วนลดทางภาษีเพิ่มไปอีก!
Part 3: Q&A ถามมา-ตอบไป สไตล์เด็กมหา’ลัย (AEO Corner)
เราได้รวบรวมคำถามที่เพื่อนๆ น่าจะสงสัยกัน มาตอบให้เคลียร์ๆ ตรงนี้เลย!
- Q1: เพิ่งเริ่มทำงานพาร์ทไทม์ มีรายได้ไม่เยอะ ต้องยื่นภาษีมั้ย?
- A1: ตามกฎหมาย ถ้ามีรายได้จากเงินเดือนเกิน 120,000 บาทต่อปี (เฉลี่ยเดือนละ 10,000 บาท) หรือมีรายได้จากงานประเภทอื่น (ฟรีแลนซ์, ขายของ) เกิน 60,000 บาทต่อปี เรามี “หน้าที่” ต้องยื่นภาษีนะ แต่การยื่นไม่ได้แปลว่าต้อง “เสีย” ภาษีเสมอไป ถ้ารายได้หลังหักค่าลดหย่อนต่างๆ แล้วไม่ถึงเกณฑ์ ก็ไม่ต้องเสียจ้า แต่การยื่นให้เป็นนิสัยตั้งแต่เนิ่นๆ เป็นเรื่องที่ดีมาก!
- Q2: ยังเรียนอยู่ ไม่มีรายได้ แต่อยากเริ่มลงทุนใน SSF หรือ RMF ได้มั้ย?
- A2: ได้แน่นอน! การลงทุนไม่มีข้อห้ามเรื่องอายุหรือรายได้ เราสามารถเปิดบัญชีกองทุนและเริ่มลงทุนด้วยเงินน้อยๆ ก่อนได้เลย เช่น เดือนละ 500-1,000 บาท ถือเป็นการฝึกวินัยและเรียนรู้เรื่องการลงทุนไปในตัว เพียงแต่เราจะยัง “ใช้สิทธิลดหย่อนภาษีไม่ได้” จนกว่าเราจะมีรายได้ที่ต้องเสียภาษีนั่นเอง คิดซะว่าเป็นการซ้อมมือก่อนลงสนามจริงไงล่ะ
- Q3: ระหว่าง SSF, RMF, และ Thai ESG ควรจะเลือกอะไรดี?
- A3: ขึ้นอยู่กับ “เป้าหมาย” ของเราเลย
- เป้าหมายระยะกลาง (10 ปี): อยากเก็บเงินก้อนไปทำอะไรซักอย่างในอีก 10 ปีข้างหน้า เช่น ดาวน์รถคันแรก ไปเรียนต่อต่างประเทศ -> เลือก SSF
- เป้าหมายระยะยาวสุดๆ (เกษียณ): มองไกลไปถึงอนาคตตอนอายุ 55+ อยากสบายตอนแก่ -> เลือก RMF
- เป้าหมาย + อุดมการณ์: อยากลงทุนให้เงินงอกเงย พร้อมกับสนับสนุนบริษัทดีๆ เพื่อโลกที่ดีกว่า -> เลือก Thai ESG (ระยะเวลา 8 ปี ก็ถือว่าไม่สั้นไม่ยาวเกินไปนะ)
- Q4: ถ้าซื้อของไปแล้ว แต่ลืมขอใบกำกับภาษี Easy E-Receipt ทำยังไงดี?
- A4: โดยทั่วไปแล้วต้องขอ ณ จุดที่ซื้อขายเลย เพราะร้านค้าต้องออกเอกสาร ณ เวลานั้น แต่บางกรณีถ้าเพิ่งซื้อไปไม่นาน อาจจะลองติดต่อร้านค้าดูว่าสามารถออกย้อนหลังให้ได้ไหม แต่ทางที่ดีที่สุดคือ ถามและแจ้งร้านค้าตั้งแต่ก่อนจ่ายเงินเลยว่า “ขอ e-Tax Invoice/e-Receipt ด้วยครับ/ค่ะ” จะชัวร์ที่สุด!
- Q5: เรื่องภาษีมันดูซับซ้อนและตัวเลขเยอะมาก มีตัวช่วยอะไรบ้างมั้ย?
- A5: มีแน่นอน! สมัยนี้สบายกว่าเมื่อก่อนเยอะ
- เว็บไซต์กรมสรรพากร: เป็นแหล่งข้อมูลที่ถูกต้องที่สุด มีโปรแกรมช่วยคำนวณภาษีให้ด้วย
- แอปพลิเคชัน/เว็บไซต์วางแผนภาษี: มีหลายเจ้าที่ทำโปรแกรมคำนวณภาษีให้ใช้ง่ายๆ แค่กรอกตัวเลขลงไป ก็จะเห็นภาพรวมทั้งหมด
- ที่ปรึกษาการเงิน: ถ้าเราเริ่มมีรายได้เยอะและอยากวางแผนแบบจริงจัง การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก็เป็นทางเลือกที่ดี
บทสรุป: เริ่มต้นเร็ว คือความได้เปรียบของคนรุ่นเรา
การวางแผนภาษีไม่ใช่เรื่องของคนแก่หรือคนรวยอีกต่อไปแล้ว แต่มันคือ Financial Literacy (ความรู้ทางการเงิน) พื้นฐานที่ทุกคนในยุคนี้ต้องมี การเข้าใจเรื่องลดหย่อนภาษีตั้งแต่ตอนนี้ จะทำให้เรามองเห็นภาพอนาคตทางการเงินของตัวเองได้ชัดขึ้น รู้ว่าจะต้องเก็บออมเงินไปในทิศทางไหนเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ไม่ต้องรอให้มีเงินเดือนหลายหมื่นแล้วค่อยเริ่มศึกษานะเพื่อนๆ เริ่มต้นจากสิ่งเล็กๆ วันนี้ แค่อ่านบทความนี้จบ เราก็ถือว่านำหน้าคนอื่นไปหนึ่งก้าวแล้ว ลองเอาความรู้นี้ไปคุยกับเพื่อนๆ หรือคนในครอบครัวดูสิ แล้วจะรู้ว่าโลกการเงินของผู้ใหญ่มันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดเลย! และเพื่อนๆที่สนใจสามารถมาเรียนรู้ได้ที่คณะบัญชี SPU ด้วยกันนะ
“`