สวัสดีครับ ผมเต้นะครับ จ่าอากาศเอกชลยุทธ แก้วกระจ่าง อายุ 22 ปี ปัจจุบันทำงานอยู่ที่กรมแพทย์ทหารอากาศ ตำแหน่งเสมียนการเงิน แผนกการเงิน กรมแพทย์ทหารอากาศ ทำหน้าที่เกี่ยวกับการเบิกจ่ายค่าใช้สอยต่างๆ ภายในกรมแพทย์ทหารอากาศ รับราชการมาเกือบ 2 ปีแล้วครับ
ก่อนจะเข้ามารับราชการที่กรมแพทย์ทหารอากาศ ผมศึกษาชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพขั้นสูงที่โรงเรียน
จ่าอากาศ กรมยุทธศึกษาอากาศ ในหลักสูตรทหารการเงิน เนื้อหาที่สอนจะเกี่ยวกับระเบียบการเงินของกองทัพอากาศ ระเบียบกระทรวงการคลัง การเบิกจ่ายต่างๆ และบัญชีราชการ ซึ่งใช้เวลาศึกษาเป็นเวลา 2 ปี จบมาได้วุฒิประกาศนียบัตรวิชาชีพขั้นสูง สาขาบัญชี ก่อนจะเข้ามาบรรจุที่ต้นสังกัดปัจจุบัน ผมได้มีโอกาสไปรับราชการในตำแหน่ง เสมียนการเงิน แผนกการเงิน กองพันทหารอากาศโยธิน กองบิน 41 ที่จังหวัดเชียงใหม่ เป็นเวลา 1 เดือน ในช่วงนั้นก็ได้มีโอกาสเรียนรู้เรื่องงานในความรับผิดชอบส่วนของการเงินต่างๆ ภายในกองพันฯ แนวทางการใช้ชีวิตรับราชการ รวมไปถึงเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องการศึกษาต่อด้วย
เมื่อถึงเวลากลับมารับราชการที่ต้นสังกัดปัจจุบัน ตัวผมสนใจเรื่องการเรียนต่อระดับปริญญาตรี เพื่อนำความรู้ที่ได้มาต่อยอดทั้งในการทำงาน และอนาคต โดยได้รับคำแนะนำจากหลายๆ ท่าน ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว, เพื่อน, รุ่นพี่ที่ทำงาน และอีกหลายๆ ท่านที่ช่วยให้คำปรึกษาจนได้ตัดสินใจเลือกเรียนต่อปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยศรีปทุมในหลักสูตรภาควันอาทิตย์ โดยเหตุผลหลักๆ ที่เลือกเรียนวันอาทิตย์ เพราะในตอนนั้นมาบรรจุที่ต้นสังกัดได้ไม่นาน ยังอยากเรียนรู้งานต่างๆ ภายในสังกัด อีกทั้งได้แลกเปลี่ยนความรู้และมุมมองการเรียนและการทำงานของเพื่อนในคณะ ที่ตัดสินใจเลือกเรียนภาควันอาทิตย์เหมือนกับผม จึงได้ตัดสินใจเลือกเรียนที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้
ในช่วงแรกของการใช้ชีวิตทั้งเรียนและทำงาน ไม่ค่อยราบรื่นอย่างที่คิดเท่าไหร่นัก เพราะเป็นช่วงที่เราต้องรับช่วงต่องานของพี่ที่ทำงาน ที่กำลังจะเกษียณในอีกไม่กี่เดือน จึงต้องรีบศึกษาเกี่ยวกับงานที่จะได้เข้ามารับผิดชอบในอนาคตให้ได้มากที่สุด อีกทั้งยังต้องแบ่งเวลามาให้กับการทบทวนเนื้อหาที่เรียนและงานในมหาวิทยาลัย ตัวผมจึงเข้าไปปรึกษากับพี่ที่แผนกคนหนึ่ง ซึ่งกำลังเรียนต่อปริญญาตรีเหมือนกัน แต่ในมหาวิทยาลัยที่พี่คนนี้ศึกษาอยู่ เรียนช่วงเสาร์-อาทิตย์ 2 วัน ซึ่งเวลาว่างของพี่คนนี้น้อยกว่าตัวผมอีก แต่ยังสามารถบริหารทั้งสองเรื่องให้ไปด้วยกันได้ และทำได้ดีทั้งสองอย่าง โดยตัวผมได้เข้าไปปรึกษาและนำคำแนะนำนี้มาเป็นแนวทางในการทำงานและการเรียนของตัวผมจนถึงปัจจุบัน
โดยพี่ที่ให้คำปรึกษากับผม ได้แนะนำเกี่ยวกับเรื่องของการแบ่งเวลา และลงมือทำสิ่งนั้นให้เต็มที่ เช่น ในวันทำงาน ทำงานให้เต็มที่ โฟกัสแค่เรื่องงานที่ได้รับมอบหมาย ทำงานให้สำเร็จตามตารางงาน หลังเวลางาน ถ้ามีเวลาว่าง ก็ค่อยมาทบทวนเนื้อหาที่เรียนมาเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หรือทำการบ้านที่ได้รับมอบหมายจากอาจารย์ที่มหาวิทยาลัย ในส่วนวันเสาร์ หลังจากจัดการธุระส่วนตัวเสร็จเรียบร้อย ค่อยมาโฟกัสเรื่องเรียน ทำการบ้านต่อให้เสร็จ ศึกษาเนื้อหาที่จะเรียนต่อในวันพรุ่งนี้ หรือในวันที่มีสอบเก็บคะแนน ก็มานั่งทบทวนกับตัวเองอีกหนึ่งครั้ง แต่ทั้งสองเรื่องทั้งเรื่องทำงานและเรื่องเรียน ต้องไม่กดดันตัวเองจนเกินไป ใช้ทรัพยากรเวลาให้มีค่ามากที่สุด และอย่าลืมให้เวลาพักผ่อนกับตัวเองด้วย เพราะถ้ากดดันตัวเอง หรือเครียดกับมันมากเกินไป จะทำให้เราอยู่กับสิ่งนั้นได้ไม่นาน จนยอมแพ้กับตัวเองไปในที่สุด
สุดท้ายนี้ ขอเป็นกำลังใจให้กับผู้ที่สนใจที่จะศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี ในขณะที่กำลังทำงานอยู่ หรือผู้ที่ศึกษาอยู่ แต่ประสบปัญหาเดียวกันในช่วงแรกนี้ ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน สำเร็จก่อนไม่ได้แปลว่าสำเร็จกว่า สำเร็จช้าไม่ได้แปลว่าไม่สำเร็จ เป็นกำลังใจครับ

