ป.โทเอก Business Content

5 กลยุทธ์ของ CEO รุ่นใหม่ที่เปลี่ยนโฉมองค์กรในปี 2025

CEO

5 กลยุทธ์ของ CEO รุ่นใหม่ ที่จะเปลี่ยนโฉมองค์กรของคุณไปตลอดกาลในปี 2025

ถอดรหัส 5 กลยุทธ์สำคัญของ CEO รุ่นใหม่ ที่กำลังจะเข้ามาสร้างแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่ และเปลี่ยนโฉมองค์กรให้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปในปี 2025 และปีต่อๆ ไป นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของผู้บริหารระดับสูง แต่มันคือเรื่องของเราทุกคนค่ะ

ทีมงานรุ่นใหม่กำลังประชุมวางกลยุทธ์ในออฟฟิศที่ทันสมัย
ภาพการทำงานร่วมกันของทีมงาน คือหัวใจขององค์กรยุคใหม่

1. The Human-Centric Leader: ผู้นำที่ใช้ “หัวใจ” นำทาง ไม่ใช่แค่ “ตัวเลข”

ลืมภาพซีอีโอที่หมกมุ่นอยู่กับตัวเลขในตาราง Excel ไปได้เลยค่ะ ผู้นำแห่งปี 2025 คือคนที่เข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าสินทรัพย์ที่ล้ำค่าที่สุดขององค์กรไม่ใช่สิทธิบัตรหรือเครื่องจักร แต่คือ “คน” ที่นั่งทำงานอยู่ทุกวัน กลยุทธ์ Human-Centric ไม่ใช่แค่การมีสวัสดิการดีๆ หรือจัดปาร์ตี้ปีใหม่ แต่เป็นการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่หล่อเลี้ยงจิตใจและศักยภาพของพนักงานอย่างแท้จริง

ทำไมกลยุทธ์นี้ถึงสำคัญอย่างยิ่ง?

ในยุคที่ Burnout กลายเป็นโรคระบาดเงียบ และคนเก่งมีทางเลือกมากมาย การรักษาพนักงาน (Employee Retention) กลายเป็นสมรภูมิที่สำคัญกว่าการหาลูกค้าใหม่เสียอีก ผู้นำที่ใส่ใจจะสร้างสภาพแวดล้อมที่เรียกว่า “Psychological Safety” หรือ “พื้นที่ปลอดภัยทางใจ” ที่ซึ่งพนักงานกล้าที่จะแสดงความคิดเห็น กล้าที่จะลองผิดลองถูก และกล้าที่จะเป็นตัวเอง โดยไม่ต้องกลัวว่าจะถูกตัดสินหรือลงโทษ

CEO รุ่นใหม่ทำอะไรบ้าง:

  • ลงทุนในสุขภาพจิต (Mental Health): ไม่ใช่แค่ประกันสุขภาพกาย แต่รวมถึงการเข้าถึงนักจิตวิทยา แพลตฟอร์มดูแลสุขภาพใจ และการสร้างวัฒนธรรมที่ผู้จัดการถามไถ่สารทุกข์สุกดิบของทีมด้วยความห่วงใยจริงใจ
  • ยืดหยุ่นและเข้าใจ (Flexibility & Empathy): เข้าใจว่าชีวิตของพนักงานไม่ได้มีแค่ 8 ชั่วโมงในออฟฟิศ พวกเขามีครอบครัวที่ต้องดูแล มีแพชชั่นที่อยากทำ ซีอีโอรุ่นใหม่จึงสนับสนุนนโยบาย Work from Anywhere, Flexible Hours และเชื่อมั่นในผลลัพธ์ของงานมากกว่าจำนวนชั่วโมงที่ตอกบัตร
  • ออกแบบเส้นทางการเติบโตส่วนบุคคล (Personalized Career Path): ไม่ใช่ทุกคนที่อยากไต่เต้าขึ้นเป็นผู้จัดการ บางคนอยากเป็นผู้เชี่ยวชาญในสายงานของตัวเอง (Specialist) ผู้นำยุคใหม่จะทำงานร่วมกับพนักงานเพื่อออกแบบเส้นทางที่ตอบโจทย์ความฝันและศักยภาพของแต่ละคน

สำหรับเราในฐานะคนทำงาน:

นี่คือโอกาสทองค่ะ! องค์กรที่นำโดยผู้นำแบบนี้คือพื้นที่ที่เราจะสามารถทำงานได้อย่างมีความสุขและเติบโตได้อย่างยั่งยืน ลองถามตัวเองดูว่าองค์กรปัจจุบันของเราให้ความสำคัญกับเรื่องเหล่านี้มากแค่ไหน และเราจะสามารถเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนวัฒนธรรมดีๆ แบบนี้ได้อย่างไรบ้าง


2. The Data-Driven Storyteller: นักเล่าเรื่องผ่านข้อมูล ที่เปลี่ยน “ความรู้สึก” ให้เป็น “ความจริง”

ถ้าหัวใจคือเครื่องยนต์ดวงแรก “ข้อมูล” (Data) ก็คือเครื่องยนต์ดวงที่สองที่ทรงพลังไม่แพ้กัน แต่ซีอีโอรุ่นใหม่ไม่ใช่แค่นักวิเคราะห์ข้อมูลที่จมอยู่กับตัวเลข พวกเขาคือ “นักเล่าเรื่อง” ที่สามารถหยิบเอาข้อมูลดิบๆ ที่ซับซ้อน มาย่อยให้เข้าใจง่าย และร้อยเรียงเป็นเรื่องราวที่ทรงพลัง เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ ชักจูง และนำพาองค์กรไปในทิศทางเดียวกัน

ทำไมการเล่าเรื่องผ่านข้อมูลถึงจำเป็น?

การตัดสินใจที่อิงจาก “ความรู้สึก” หรือ “ประสบการณ์เก่าๆ” อาจใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไปในโลกที่ผันผวน การใช้ข้อมูล (Data-Driven Decision Making) ช่วยลดอคติส่วนตัว และทำให้เรามองเห็นโอกาสหรือความเสี่ยงที่ซ่อนอยู่ได้อย่างชัดเจน แต่ข้อมูลเพียงอย่างเดียวไม่มีความหมายหากไม่สามารถสื่อสารให้คนอื่นเข้าใจและ “อิน” ไปด้วยได้ การเล่าเรื่องจึงเป็นสะพานเชื่อมระหว่างโลกของตรรกะและโลกของอารมณ์

CEO รุ่นใหม่ทำอะไรบ้าง:

  • สร้างวัฒนธรรมแห่งการใช้ข้อมูล: ส่งเสริมให้ทุกแผนก ตั้งแต่การตลาดไปจนถึงฝ่ายบุคคล (HR) ใช้ข้อมูลในการตัดสินใจ ตั้งคำถามที่ถูกต้อง และมองหาคำตอบจากข้อมูลที่มีอยู่จริง ไม่ใช่แค่การเดาสุ่ม
  • ใช้ AI และ Machine Learning เป็นผู้ช่วย: ไม่ได้มองว่า AI เป็นภัยคุกคาม แต่มองเป็นเครื่องมืออัจฉริยะที่ช่วยวิเคราะห์แนวโน้มพฤติกรรมลูกค้า คาดการณ์ยอดขาย หรือแม้กระทั่งช่วยคัดกรองผู้สมัครงานที่มีศักยภาพ
  • แปลงข้อมูลเป็นภาพ (Data Visualization): ใช้ Dashboard หรือ Infographic ที่สวยงามและเข้าใจง่าย เพื่อให้ทุกคนในองค์กรเห็นภาพรวมและเป้าหมายเดียวกัน ทำให้การประชุมมีประสิทธิภาพมากขึ้นและทุกคนเดินไปข้างหน้าพร้อมกัน

สำหรับเราในฐานะคนทำงาน:

เราไม่จำเป็นต้องเป็น Data Scientist ก็สามารถพัฒนาทักษะนี้ได้ค่ะ เริ่มจากการตั้งคำถามกับงานที่ทำอยู่ว่า “เรารู้ได้อย่างไรว่าสิ่งที่ทำอยู่ได้ผล?” หรือ “มีข้อมูลอะไรมายืนยันสมมติฐานของเราบ้าง?” การฝึกฝนมองหาข้อมูลรอบตัวและนำมาใช้สนับสนุนการทำงาน จะทำให้เราเป็นพนักงานที่มีคุณค่าและโดดเด่นขึ้นมาทันที


3. The Ecosystem Builder: ผู้สร้าง “ระบบนิเวศ” ไม่ใช่แค่ “อาณาจักร”

ยุคของการแข่งขันแบบ “ปลาใหญ่กินปลาเล็ก” กำลังจะจบลง ซีอีโอรุ่นใหม่เข้าใจดีว่าไม่มีใครสามารถเติบโตอย่างยั่งยืนได้เพียงลำพัง พวกเขาจึงเปลี่ยนบทบาทจาก “ผู้สร้างอาณาจักร” ที่ปิดกั้นตัวเอง มาเป็น “ผู้สร้างระบบนิเวศ” (Ecosystem Builder) ที่เชื่อมโยงพันธมิตร คู่ค้า หรือแม้กระทั่งคู่แข่ง เพื่อสร้างคุณค่าที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิมร่วมกัน

ทำไมต้องสร้างระบบนิเวศ?

โลกธุรกิจซับซ้อนเกินกว่าที่บริษัทเดียวจะเชี่ยวชาญได้ทุกเรื่อง การสร้าง Ecosystem ช่วยให้เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้ ทรัพยากร และนวัตกรรมอย่างไร้รอยต่อ มันคือการมองว่า “ความสำเร็จของพันธมิตร คือความสำเร็จของเรา” และการเติบโตไปด้วยกันนั้นแข็งแกร่งกว่าการเติบโตคนเดียวหลายเท่า

CEO รุ่นใหม่ทำอะไรบ้าง:

  • เปิดรับความร่วมมือข้ามอุตสาหกรรม: เช่น บริษัทเทคโนโลยีร่วมมือกับโรงพยาบาลเพื่อพัฒนาระบบดูแลสุขภาพ, บริษัทแฟชั่นร่วมมือกับองค์กรสิ่งแวดล้อมเพื่อสร้างเสื้อผ้าที่ยั่งยืน
  • สนับสนุนสตาร์ทอัพและธุรกิจขนาดเล็ก: มองว่าสตาร์ทอัพไม่ใช่คู่แข่ง แต่เป็นแหล่งของนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์ จึงเข้าไปลงทุน ให้คำปรึกษา หรือดึงเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศ
  • ทำลายไซโล (Silo) ภายในองค์กร: ส่งเสริมให้แผนกต่างๆ ทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด ไม่ใช่ต่างคนต่างทำ เพราะนวัตกรรมที่ดีที่สุดมักเกิดจากการผสมผสานความเชี่ยวชาญที่แตกต่างกัน

สำหรับเราในฐานะคนทำงาน:

ลองมองออกไปนอกแผนกหรือนอกบริษัทของเราดูค่ะ มีใครบ้างที่เราสามารถทำงานร่วมกันเพื่อสร้างผลลัพธ์ที่ดีขึ้นได้? การสร้างคอนเนคชั่นและการมีแนวคิดแบบ Collaboration จะเปิดประตูสู่โอกาสใหม่ๆ ที่เราอาจไม่เคยเห็นมาก่อน และยังเป็นทักษะที่สำคัญอย่างยิ่งในโลกการทำงานยุคใหม่


4. The Sustainability Champion: ผู้ขับเคลื่อนความยั่งยืนที่ฝังลึกใน DNA องค์กร

ความยั่งยืน หรือ Sustainability ในปี 2025 ไม่ใช่แค่การทำ CSR (Corporate Social Responsibility) สวยๆ เพื่อสร้างภาพลักษณ์อีกต่อไป แต่มันคือแก่นแท้ของกลยุทธ์ทางธุรกิจ ซีอีโอรุ่นใหม่รู้ดีว่าองค์กรที่จะอยู่รอดและเป็นที่รักของผู้บริโภคและพนักงานรุ่นใหม่ได้ ต้องเป็นองค์กรที่ใส่ใจทั้ง Profit (กำไร), People (ผู้คน), และ Planet (โลก) อย่างสมดุล หรือที่เรียกว่าแนวคิด ESG (Environmental, Social, Governance)

ทำไมความยั่งยืนถึงไม่ใช่ทางเลือก แต่คือทางรอด?

ผู้บริโภคยุคใหม่ โดยเฉพาะ Gen Z และ Millennials พร้อมที่จะสนับสนุนแบรนด์ที่ทำธุรกิจอย่างมีจริยธรรมและใส่ใจสิ่งแวดล้อม ในขณะเดียวกัน พนักงานที่มีความสามารถก็อยากทำงานกับองค์กรที่มี “Purpose” หรือเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่าแค่การทำกำไร การลงทุนในความยั่งยืนจึงเท่ากับการลงทุนในอนาคตของแบรนด์และความภักดีของทั้งลูกค้าและพนักงาน

CEO รุ่นใหม่ทำอะไรบ้าง:

  • ผนวก ESG เข้ากับทุกการตัดสินใจ: ตั้งแต่การเลือกซัพพลายเออร์ที่รักษ์โลก การออกแบบผลิตภัณฑ์ที่รีไซเคิลได้ ไปจนถึงการสร้างนโยบายที่ส่งเสริมความเท่าเทียมและหลากหลายในองค์กร (Diversity & Inclusion)
  • โปร่งใสและตรวจสอบได้: รายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมของบริษัทอย่างตรงไปตรงมา ไม่ใช่แค่ด้านการเงิน เพื่อสร้างความไว้วางใจให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกคน
  • สร้างแรงบันดาลใจให้พนักงานมีส่วนร่วม: จัดกิจกรรมปลูกป่า, รณรงค์ลดการใช้พลาสติกในออฟฟิศ หรือสนับสนุนให้พนักงานใช้เวลาทำงานไปเป็นอาสาสมัครเพื่อสังคม ทำให้ความยั่งยืนกลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมที่ทุกคนภูมิใจ

สำหรับเราในฐานะคนทำงาน:

ความยั่งยืนเริ่มต้นได้ที่โต๊ะทำงานของเราค่ะ การแยกขยะ, การลดใช้กระดาษ, การสนับสนุนกิจกรรมของบริษัท หรือแม้แต่การเสนอไอเดียเล็กๆ น้อยๆ เพื่อทำให้องค์กรของเราดีต่อโลกและสังคมมากขึ้น ล้วนเป็นสิ่งที่เราทำได้ทันที การได้เป็นส่วนหนึ่งขององค์กรที่สร้างผลกระทบเชิงบวก จะทำให้เรามีความสุขและความภูมิใจในการทำงานมากขึ้นอย่างแน่นอน


5. The Agile Futurist: นักอนาคตนิยมที่พร้อมปรับตัวและเรียนรู้ตลอดชีวิต

คุณสมบัติสุดท้ายและอาจจะสำคัญที่สุดของผู้นำยุคใหม่ คือการเป็น “นักอนาคตนิยมที่พร้อมปรับตัว” (Agile Futurist) พวกเขาไม่กลัวการเปลี่ยนแปลง แต่กลับโอบรับมันเป็นโอกาส พวกเขาไม่ได้มองว่าแผนธุรกิจคือคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ที่ห้ามแก้ไข แต่มองเป็นเพียงสมมติฐานที่ต้องทดลองและปรับเปลี่ยนอยู่เสมอ

ทำไมต้อง Agile?

ในโลกที่เทคโนโลยีใหม่ๆ เกิดขึ้นทุกวัน และพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไปในชั่วข้ามคืน องค์กรที่อุ้ยอ้ายและยึดติดกับความสำเร็จในอดีตจะถูกทิ้งไว้ข้างหลังอย่างรวดเร็ว ความสามารถในการปรับตัว (Agility) จึงเป็นทักษะการอยู่รอดที่สำคัญที่สุดขององค์กรในศตวรรษที่ 21

CEO รุ่นใหม่ทำอะไรบ้าง:

  • สร้างวัฒนธรรมแห่งการทดลอง: สนับสนุนแนวคิด “Fail Fast, Learn Faster” คือให้ลองทำไอเดียใหม่ๆ ได้อย่างรวดเร็ว หากล้มเหลวก็ให้รีบเรียนรู้จากข้อผิดพลาดแล้วลุกขึ้นมาลองใหม่ ดีกว่าการวางแผนที่สมบูรณ์แบบเป็นปีๆ แต่ไม่เคยได้ลงมือทำ
  • ลงทุนในการ Reskilling & Upskilling: ส่งเสริมให้พนักงานเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ ที่จำเป็นต่ออนาคตอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นทักษะด้านดิจิทัล, AI, หรือทักษะด้านอารมณ์ (Soft Skills) เพราะรู้ว่าคนคือหัวใจของการเปลี่ยนแปลง
  • นำด้วยวิสัยทัศน์ ไม่ใช่คำสั่ง: แทนที่จะบอกว่า “ต้องทำอะไร” (What) หรือ “ทำอย่างไร” (How) พวกเขาจะสื่อสาร “ทำไปทำไม” (Why) อย่างชัดเจน เพื่อสร้างแรงบันดาลใจและมอบอำนาจให้ทีมได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการหาวิธีที่ดีที่สุดเพื่อไปให้ถึงเป้าหมายนั้น

สำหรับเราในฐานะคนทำงาน:

นี่คือสัญญาณที่บอกให้เราต้องเป็น Lifelong Learner หรือผู้เรียนรู้ตลอดชีวิต อย่าหยุดที่จะพัฒนาตัวเองค่ะ ลองหาคอร์สเรียน, อ่านหนังสือ, หรือเข้าร่วมเวิร์คช็อปเพื่อเพิ่มทักษะใหม่ๆ อยู่เสมอ มองทุกความท้าทายให้เป็นโอกาสในการเรียนรู้ และเปิดใจรับการเปลี่ยนแปลง เพราะคนที่พร้อมปรับตัวเท่านั้นที่จะเติบโตและก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคงในโลกอนาคต


บทสรุป: อนาคตของการทำงานอยู่ในมือของเรา

ทั้ง 5 กลยุทธ์นี้ไม่ใช่แค่เทรนด์ที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป แต่มันคือพิมพ์เขียวขององค์กรแห่งอนาคตที่ประสบความสำเร็จและเป็นที่รักของพนักงาน ผู้นำที่ใส่ใจคน, ใช้ข้อมูลอย่างชาญฉลาด, สร้างความร่วมมือ, ขับเคลื่อนความยั่งยืน, และพร้อมปรับตัวอยู่เสมอ คือผู้นำที่จะนำพาองค์กรและทีมให้รอดพ้นจากทุกคลื่นความเปลี่ยนแปลง

และข่าวดีก็คือ ไม่ว่าวันนี้คุณจะอยู่ในตำแหน่งไหน คุณก็สามารถนำแนวคิดเหล่านี้มาปรับใช้กับตัวเองและทีมได้เช่นกันค่ะ เริ่มจากการเป็นเพื่อนร่วมงานที่ใส่ใจ, การใช้เหตุผลและข้อมูลในการทำงาน, การเปิดใจทำงานร่วมกับคนอื่น, การใส่ใจสิ่งรอบตัว, และการไม่หยุดที่จะเรียนรู้

เพราะอนาคตของการทำงานไม่ได้ถูกกำหนดโดย CEO เพียงคนเดียว แต่ถูกสร้างขึ้นจากพลังของคนทำงานทุกคน…อย่างพวกเราค่ะ

(Visited 644 times, 1 visits today)

Related posts

การปรับตัวของนักศึกษาป.เอกต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดงาน: ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการเรียนรู้เพิ่มเติม (Studying Further) กับการสร้างโอกาสทางอาชีพ

Wadee

การพัฒนา Soft Skills ผ่านการเรียนต่อปริญญาโท-เอก: จำเป็นแค่ไหนในตลาดงาน 2025

Wadee

ธุรกิจออนไลน์และ E-commerce: ปรับกลยุทธ์ให้ทันโลก Digital-first ปี 2025

Wadee