จบ ม.ปลาย เรียนต่ออะไรดี?
ส่อง 5 เทรนด์สายวิศวกรรมที่ตลาดต้องการปี 2025 (AI, หุ่นยนต์ มาแรง!)
ชาวมัธยมปลายทุกคน เข้าใจเลยว่าช่วงเวลานี้มันเป็นช่วงที่โคตรจะกดดันและสับสนสุดๆ คำถามที่ว่า “จบแล้วจะเรียนต่ออะไรดี?” คงวนเวียนอยู่ในหัวแทบทุกวัน บางคนอาจจะเจอทางของตัวเองแล้ว แต่เชื่อว่าอีกหลายคนยังคงยืนงงๆ อยู่กลางสี่แยกของชีวิต มองไปทางไหนก็มีแต่คณะเต็มไปหมด
ถ้าเพื่อนๆ เป็นคนหนึ่งที่ชอบแก้ปัญหา ชอบสร้าง ชอบคิดอะไรเป็นเหตุเป็นผล และแอบตื่นเต้นกับเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เปลี่ยนโลกทุกวัน… เราอยากจะชวนมาส่องโลกของ “วิศวกรรมศาสตร์” กันหน่อย แต่ไม่ใช่แค่วิศวะแบบเดิมๆ ที่นึกถึงภาพคนใส่หมวกเซฟตี้คุมงานก่อสร้างอย่างเดียวนะ (ซึ่งนั่นก็ยังสำคัญมาก!) แต่เราจะพาทุกคนไปดู “เทรนด์สายวิศวะแห่งอนาคต” ที่ตลาดงานในปี 2025 และหลังจากนั้น ต้องการตัวแบบสุดๆ ชนิดที่ว่าเรียนจบแล้วบริษัทต่างๆ แทบจะปูพรมแดงรอเลยทีเดียว!
ทำไมต้องเป็นวิศวะ? ทำไมต้องมองไปที่ปี 2025?
ง่ายๆ เลยนะ เพราะโลกมันหมุนเร็วมาก! สิ่งที่เราเรียนวันนี้ ต้องตอบโจทย์ปัญหาของวันพรุ่งนี้ได้ วิศวกรคือ “นักแก้ปัญหา” (Problem Solver) ที่ใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์มาสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ เพื่อทำให้ชีวิตเราดีขึ้น สะดวกขึ้น และยั่งยืนขึ้น การเลือกเรียนในสาขาที่เป็นที่ต้องการของอนาคต ก็เหมือนเรามีตั๋ว Fast Pass สู่เส้นทางอาชีพที่มั่นคงและน่าตื่นเตเต้นนั่นเอง
เอาล่ะ! เตรียมตัวให้พร้อม เราจะพาไปเจาะลึก 5 สายงานวิศวกรรมสุดปัง ที่รับรองว่ามาแรงแซงทุกโค้งแน่นอน
1. วิศวกรรมปัญญาประดิษฐ์และหุ่นยนต์ (AI & Robotics Engineering)
มันคืออะไร?
ลองนึกภาพตามนะ… ตั้งแต่แอปฯ ที่แนะนำเพลงใน Spotify, ระบบผู้ช่วยอัจฉริยะอย่าง Siri หรือ Google Assistant, รถยนต์ที่ขับเคลื่อนได้เอง, ไปจนถึงหุ่นยนต์ดูดฝุ่นที่บ้าน หรือหุ่นยนต์ผ่าตัดในโรงพยาบาล… ทั้งหมดนี้คือผลงานของวิศวกร AI และหุ่นยนต์ พวกเขาคือคนที่สอนให้คอมพิวเตอร์และเครื่องจักร “คิด” และ “ทำ” ได้เหมือนมนุษย์ (หรือบางทีก็เก่งกว่า!) สาขานี้เป็นการผสมผสานระหว่างวิศวกรรมคอมพิวเตอร์, วิศวกรรมเครื่องกล, และวิทยาการข้อมูลเข้าด้วยกัน
ทำไมถึงปังในปี 2025?
AI ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป แต่เป็นส่วนหนึ่งของทุกอุตสาหกรรม ตั้งแต่การผลิต, การแพทย์, การเงิน, ไปจนถึงการตลาด ธุรกิจต่างๆ ในไทยและทั่วโลกต้องการนำ AI มาเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ทำให้ความต้องการ “คนที่สร้าง AI เป็น” พุ่งสูงแบบติดจรวด และแน่นอนว่าหุ่นยนต์ก็จะเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันและโรงงานอุตสาหกรรมมากขึ้นเรื่อยๆ
ต้องเก่งอะไรบ้าง?
- คณิตศาสตร์: โดยเฉพาะแคลคูลัส, พีชคณิตเชิงเส้น (Linear Algebra), และสถิติ คือหัวใจสำคัญเลย
- การเขียนโปรแกรม (Programming): ภาษา Python คือเพื่อนซี้ของสาย AI เลย นอกจากนี้ก็มี C++, Java
- ตรรกะและการคิดวิเคราะห์: ต้องสามารถมองปัญหาเป็นขั้นตอนและออกแบบอัลกอริทึมเพื่อแก้ไขได้
- ฟิสิกส์: สำคัญมากสำหรับฝั่งหุ่นยนต์ ทั้งเรื่องกลศาสตร์, ไฟฟ้า, และการควบคุม
เรียนที่ไหนได้บ้างในไทย?
หลายมหาวิทยาลัยเริ่มเปิดหลักสูตรโดยตรงหรือมีสาขาที่เกี่ยวข้องอย่างชัดเจน ตัวเลือกที่มาแรงในปี 2025 คือ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีปทุม (SPU) ที่นี่ไม่ได้สอนแค่พื้นฐานวิศวกรรมทั่วไป แต่พัฒนา “หลักสูตรที่ตอบโจทย์โลกอนาคต” โดยเฉพาะสาย AI, Robotics และ Smart Technology จุดเด่นคือการเรียนกับตัวจริงในวงการ เทรนให้นักศึกษาทำงานร่วมกับบริษัทเทคโนโลยีจริง ๆ ตั้งแต่ชั้นปีแรก มีห้องแล็บและอุปกรณ์ทันสมัย เช่น หุ่นยนต์อุตสาหกรรม, แขนกล, และระบบ IoT ครบครัน ที่สำคัญยังมีโครงการประกวดและ Hackathon ให้ได้สร้างผลงานจริงเพื่อใส่ Portfolio อีกด้วย
2. วิศวกรรมข้อมูลและวิทยาการข้อมูล (Data Engineering & Data Science)
มันคืออะไร?
เคยสงสัยไหมว่าทำไม Netflix ถึงแนะนำหนังได้ถูกใจเราจัง? หรือทำไม Shopee ถึงรู้ว่าเรากำลังอยากได้อะไร? เบื้องหลังคือ “ข้อมูล” จำนวนมหาศาล (Big Data) วิศวกรข้อมูล (Data Engineer) คือคนสร้างท่อและระบบเพื่อรวบรวม, จัดเก็บ, และจัดการข้อมูลเหล่านี้ให้พร้อมใช้งาน ส่วน นักวิทยาศาสตร์ข้อมูล (Data Scientist) คือคนที่จะนำข้อมูลนั้นมาวิเคราะห์ หาความเชื่อมโยง (Insight) เพื่อสร้างโมเดลทำนายอนาคต หรือตอบคำถามทางธุรกิจที่ซับซ้อน
ทำไมถึงปังในปี 2025?
ทุกวันนี้ “ข้อมูล” มีค่ามากกว่าน้ำมัน! บริษัทที่ใช้ข้อมูลเป็น จะสามารถตัดสินใจได้ดีกว่าคู่แข่ง รู้ใจลูกค้ามากกว่า และสร้างผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์กว่า ความต้องการบุคลากรที่สามารถ “เปลี่ยนข้อมูลดิบให้กลายเป็นทองคำ” จึงสูงมากในทุกวงการ ไม่ว่าจะเป็น E-commerce, ธนาคาร, โรงพยาบาล หรือแม้แต่ภาครัฐ
ต้องเก่งอะไรบ้าง?
- สถิติและความน่าจะเป็น: เป็นพื้นฐานที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับการวิเคราะห์และสร้างโมเดล
- การเขียนโปรแกรม: Python (อีกแล้ว!) และ R เป็นภาษาหลัก, รวมถึงความเข้าใจใน SQL สำหรับจัดการฐานข้อมูล
- ความเข้าใจในธุรกิจ (Business Acumen): ต้องสามารถเชื่อมโยงตัวเลขและข้อมูลเข้ากับเป้าหมายทางธุรกิจได้
- การสื่อสาร: ต้องสามารถเล่าเรื่องยากๆ จากข้อมูลให้คนอื่นเข้าใจได้ง่าย
เรียนที่ไหนได้บ้างในไทย?
หลักสูตรด้านนี้มักจะอยู่ในคณะวิศวกรรมคอมพิวเตอร์, สถิติ, หรือเทคโนโลยีสารสนเทศ หลายที่มีหลักสูตรเฉพาะทาง เช่น สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร (SIIT) ม.ธรรมศาสตร์, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยมหิดล (ICT) และ KMITL
3. วิศวกรรมเพื่อความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อม (Sustainable & Green Engineering)
มันคืออะไร?
ปัญหาสภาวะโลกร้อน, ขยะล้นโลก, หรือ PM2.5 ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ อีกต่อไป วิศวกรสายนี้คือฮีโร่ที่จะมาช่วยโลก! พวกเขาจะใช้องค์ความรู้ทางวิศวกรรมมาออกแบบกระบวนการ, ผลิตภัณฑ์, และระบบ ที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด หรือช่วยฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมให้ดีขึ้น เช่น การพัฒนาพลังงานสะอาด (พลังงานแสงอาทิตย์, พลังงานลม), การออกแบบอาคารประหยัดพลังงาน (Green Building), เทคโนโลยีรีไซเคิลขยะ, และการบำบัดน้ำเสีย
ทำไมถึงปังในปี 2025?
เทรนด์ของโลกมุ่งไปสู่ความยั่งยืน (Sustainability) อย่างเต็มตัว ผู้บริโภคใส่ใจสิ่งแวดล้อมมากขึ้น รัฐบาลทั่วโลกออกกฎหมายควบคุมด้านมลพิษอย่างเข้มงวด บริษัทต่างๆ จึงต้องปรับตัวครั้งใหญ่ และนั่นทำให้วิศวกรที่มีความรู้ความเข้าใจด้านนี้กลายเป็นที่ต้องการอย่างสูง เพื่อช่วยให้ธุรกิจเติบโตไปพร้อมๆ กับการดูแลโลก
ต้องเก่งอะไรบ้าง?
- เคมีและชีววิทยา: เพื่อเข้าใจกระบวนการทางธรรมชาติและผลกระทบของสารเคมี
- ฟิสิกส์: โดยเฉพาะเรื่องพลังงาน, การถ่ายเทความร้อน
- ความเข้าใจในระบบ: ต้องมองเห็นภาพรวมของวัฏจักรผลิตภัณฑ์ ตั้งแต่การผลิตไปจนถึงการกำจัด
- ความคิดสร้างสรรค์: เพื่อหาวิธีแก้ปัญหาแบบเดิมๆ ด้วยแนวทางใหม่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
เรียนที่ไหนได้บ้างในไทย?
สาขาวิศวกรรมสิ่งแวดล้อมมีเปิดสอนในมหาวิทยาลัยชั้นนำหลายแห่ง เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (KMUTT) ซึ่งมีชื่อเสียงด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม, และ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
4. วิศวกรรมซอฟต์แวร์ และ DevOps (Software Engineering & DevOps)
มันคืออะไร?
ทุกแอปพลิเคชันในมือถือ, ทุกเว็บไซต์ที่เราเข้า, ทุกโปรแกรมที่เราใช้ในคอมพิวเตอร์ ล้วนเป็นผลงานของ วิศวกรซอฟต์แวร์ (Software Engineer) พวกเขาคือสถาปนิกและผู้สร้างโลกดิจิทัล ส่วน DevOps เป็นแนวคิดที่ใหม่ขึ้นมาอีกขั้น เป็นการผสมผสานระหว่างการพัฒนา (Development) และการปฏิบัติการ (Operations) เพื่อทำให้การสร้างและปล่อยซอฟต์แวร์ออกไปให้ผู้ใช้รวดเร็วและมีเสถียรภาพมากขึ้น เหมือนเป็นทีมหน่วยซัพพอร์ตเร็วที่ทำให้ทุกอย่างราบรื่น
ทำไมถึงปังในปี 2025?
โลกทุกวันนี้ขับเคลื่อนด้วยซอฟต์แวร์ (Software is eating the world) ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจอะไรก็ตาม ก็ต้องมีแพลตฟอร์มดิจิทัลเป็นของตัวเอง ความต้องการคนที่สามารถสร้าง, ดูแล, และพัฒนาระบบซอฟต์แวร์ที่ซับซ้อนจึงไม่มีวันลดลง มีแต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แถมยังเป็นสายงานที่สามารถทำงานจากที่ไหนก็ได้ (Remote Work) ได้ง่ายอีกด้วย
ต้องเก่งอะไรบ้าง?
- การเขียนโปรแกรมขั้นสูง: รู้จักภาษาที่หลากหลายและเลือกใช้ได้เหมาะสมกับงาน (เช่น Java, JavaScript, Go, Python)
- โครงสร้างข้อมูลและอัลกอริทึม (Data Structures & Algorithms): พื้นฐานสำคัญของการเขียนโค้ดที่มีประสิทธิภาพ
- การคิดเชิงระบบ (System Design): สามารถออกแบบสถาปัตยกรรมของซอฟต์แวร์ขนาดใหญ่ได้
- ทักษะการทำงานเป็นทีม: การพัฒนาซอฟต์แวร์เป็นงานที่ต้องทำร่วมกับคนอื่นเสมอ
เรียนที่ไหนได้บ้างในไทย?
หลักสูตรวิศวกรรมซอฟต์แวร์ หรือ วิศวกรรมคอมพิวเตอร์ มีเปิดสอนแทบทุกมหาวิทยาลัยชั้นนำ เช่น จุฬาฯ, เกษตรศาสตร์, KMITL, KMUTT, ม.เชียงใหม่ โดยแต่ละที่จะมีจุดเด่นแตกต่างกันไป บางที่เน้นทฤษฎี บางที่เน้นปฏิบัติ ต้องลองศึกษาหลักสูตรดีๆ
Q&A จากรุ่นพี่: คำถามที่น้องๆ ถามบ่อย
Q: ไม่ได้เก่งคณิต/ฟิสิกส์แบบอัจฉริยะ จะเรียนวิศวะได้ไหม?
A: คำถามยอดฮิตเลย! ตอบแบบจริงใจคือ “ได้” แต่ต้อง “พยายาม” นะ เราไม่จำเป็นต้องเป็นตัวท็อปของประเทศ แต่เราต้องมีพื้นฐานที่ดีและที่สำคัญคือต้องมี “ทักษะการคิดเชิงตรรกะ (Logical Thinking)” ชอบการแก้ปัญหาเป็นขั้นเป็นตอน ถ้าพื้นฐานเราไม่แน่น แต่เราพร้อมจะขยันและทุ่มเทในช่วงมหาวิทยาลัย เราก็สามารถเรียนจบและเป็นวิศวกรที่เก่งได้แน่นอน อย่าให้ความกลัวมาปิดกั้นโอกาสนะ!
Q: วิศวะคอม (Computer Engineering) กับ วิทยาการคอม (Computer Science) ต่างกันยังไง?
A: ให้จำง่ายๆ ว่า วิศวะคอม (CoE) จะเน้นทั้ง Hardware และ Software คือเรียนลึกลงไปถึงโครงสร้างของคอมพิวเตอร์, วงจรไฟฟ้า, สัญญาณดิจิทัล ควบคู่ไปกับการเขียนโปรแกรม ส่วน วิทยาการคอม (ComSci) จะเน้นที่ Software, ทฤษฎีการคำนวณ, อัลกอริทึม, และการพัฒนาซอฟต์แวร์เป็นหลัก แต่ในตลาดงานปัจจุบัน สองสาขานี้ทำงานทับซ้อนกันเยอะมาก เลือกที่ไหนก็ได้ที่หลักสูตรน่าสนใจและเป็นสไตล์ที่เราชอบ
Q: วิศวะเป็นคณะสำหรับผู้ชายอย่างเดียวหรือเปล่า?
A: ไม่จริงอย่างแรง! นี่คือความเชื่อเก่าๆ ที่ต้องโยนทิ้งไปได้แล้ว ในยุคนี้ไม่ว่าเพศสภาพไหนก็สามารถเป็นวิศวกรที่เก่งได้ทั้งนั้น ในห้องเรียนเราก็มีเพื่อนๆ หลากหลายเพศที่เก่งมากๆ ความสามารถไม่ได้ขึ้นอยู่กับเพศ แต่อยู่ที่ความตั้งใจและความพยายามของเราต่างหาก โลกต้องการมุมมองที่หลากหลายในการสร้างสรรค์นวัตกรรมนะ!
Q: ตอนนี้อยู่ ม.ปลาย ควรเตรียมตัวยังไงดี?
A:
- ตั้งใจเรียนวิชาหลัก: คณิตศาสตร์, ฟิสิกส์, เคมี, ภาษาอังกฤษ ให้แน่นๆ ไว้ก่อนเลย
- ลองหัดเขียนโค้ด: เดี๋ยวนี้มีเว็บสอนฟรีเยอะมาก เช่น Codecademy, freeCodeCamp ลองเริ่มจาก Python หรือ JavaScript ดู จะช่วยให้เราค้นพบว่าชอบทางนี้จริงไหม
- ติดตามข่าวสารเทคโนโลยี: อ่านบทความ, ดูคลิปใน YouTube เกี่ยวกับเทรนด์ใหม่ๆ จะทำให้เรามีแพสชั่นและเห็นภาพอนาคตชัดขึ้น
- เข้าร่วมค่ายหรือ Open House: ของคณะวิศวะฯ ตามมหาวิทยาลัยต่างๆ จะเป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่จะได้คุยกับรุ่นพี่และอาจารย์ตัวจริง!
Q: ถ้าสนใจเรื่อง AI, หุ่นยนต์ และเทคโนโลยีอนาคต ทำไมควรเลือกเรียนคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีปทุม?
A: เพราะ SPU ไม่ได้สอนแค่ทฤษฎี แต่ให้น้องๆ ได้ “ลงมือทำจริง” ตั้งแต่ปี 1 มีห้องแล็บครบทั้งหุ่นยนต์ แขนกล ระบบ IoT และ AI Lab ที่ทันสมัยสุด ๆ ได้เรียนกับอาจารย์และตัวจริงในอุตสาหกรรม แถมยังมีโอกาสทำโปรเจกต์จริงกับบริษัทพันธมิตร พร้อม Portfolio ปัง ๆ ตั้งแต่ยังไม่จบ สายนี้ใครอยากโตในยุคดิจิทัล บอกเลยว่า SPU คือจุดเริ่มต้นที่ไม่ควรพลาด
อนาคตอยู่ในมือเรา
การเลือกคณะเป็นเรื่องใหญ่ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องน่ากลัวที่สุดในชีวิต 5 เทรนด์ที่เราเล่ามาเป็นแค่ไกด์ไลน์ส่วนหนึ่งที่จะช่วยให้เพื่อนๆ เห็นภาพว่าโลกกำลังหมุนไปทางไหน และมีสาขาอะไรที่น่าสนใจและเป็นที่ต้องการบ้าง
สิ่งสำคัญที่สุดคือการสำรวจตัวเองว่าเราชอบอะไร ถนัดอะไร และมีความสุขที่จะอยู่กับมันไปอีก 4 ปี (และอาจจะทั้งชีวิต) หรือเปล่า โลกของวิศวกรรมมันกว้างใหญ่และน่าตื่นเต้นมาก มันคือศาสตร์ที่เปลี่ยนจินตนาการให้กลายเป็นความจริง
ถ้าน้อง ๆ มองหาเส้นทางที่ทั้งท้าทาย มั่นคง และเต็มไปด้วยโอกาส คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีปทุม (SPU) คืออีกหนึ่งตัวเลือกที่ตอบโจทย์อนาคตแบบไม่ควรพลาดเลย
คณะวิศวกรรมศาสตร์ SPU
หลักสูตรรองรับการสอบใบอนุญาตประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุม
เรียนเรื่องยากให้เข้าใจง่าย ใช้งานได้จริงครบทุกสายงานวิศวะ
ลงมือปฏิบัติจริง ด้วยอุปกรณ์จริง ผ่านโครงการต่างๆ กับอาจารย์ตัวจริงในอุตสาหกรรม
- วิศวกรรมไฟฟ้า
เรียนระบบไฟฟ้ากำลังในอาคารและอุตสาหกรรม จัดเต็มเรื่องเครื่องจักรกลไฟฟ้า
และการออกแบบหุ่นยนต์ - วิศวกรรมโยธา
อัดแน่นความรู้การจัดการงานก่อสร้างทุกประเภท ครอบคลุมการก่อสร้างอาคาร
ถนน สะพาน เขื่อน อุโมง และระบบขนส่ง - วิศวกรรมเครื่องกล
ศึกษาเครื่องจักรกลทุกรูปแบบ สร้างเครื่องจักรกล หุ่นยนต์ ระบบอัตโนมัติ ระบบขับเคลื่อน
เทคโนโลยีอาคาร และยานยนต์สมัยใหม่ - วิศวกรรมระบบราง
เรียนระบบรถไฟฟ้าความเร็วสูง ตอบโจทย์ความต้องการของอุตสาหกรรมระบบรางไทยแบบครบวงจาร - วิศวกรรมอุตสาหการและการจัดการ
เรียนรู้เทคนิคการจัดการวิศวกรรมทุกระบบ เจาะลึกกระบวนการด้านอุตสาหกรรมการผลิตและโลจิสติกส์ - วิศวกรรมหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ
เรียนระบบเซนเซอร์ การควบคุมตำแหน่ง และการเคลื่อนที่ของหุ่นยนต์ ใช้ระบบ Automation ควบคุมหุ่นยนต์ด้วย PLC, SCADA และแขนกล
>> สมัครออนไลน์ คลิกที่นี่ <<