น้องๆ ทุกคน! เคยสงสัยกันมั้ยว่า เสื้อยืดเท่ๆ ที่เราใส่, สมาร์ทโฟนเครื่องใหม่ที่เพิ่งแกะกล่อง หรือแม้แต่ชานมไข่มุกแก้วโปรดที่เรากำลังดูดอยู่เนี่ย… มันเดินทางมาจากไหนกันนะ? เบื้องหลังของทุกสิ่งที่เราใช้ในชีวิตประจำวัน มันมีกระบวนการที่ซับซ้อนและยิ่งใหญ่ซ่อนอยู่ ที่เราเรียกกันว่า “ซัพพลายเชน” (Supply Chain) หรือ ห่วงโซ่อุปทาน นั่นเอง
ในฐานะที่วิทยาลัยโลจิสติกส์และซัพพลายเชน SPU คลุกคลีกับเรื่องธุรกิจ บอกเลยว่าคำว่า “ซัพพลายเชน” ไม่ใช่เรื่องไกลตัวหรือน่าเบื่ออีกต่อไปแล้ว แต่มันกำลังกลายเป็นหนึ่งในสายงานที่ “ฮอต” และ “สำคัญ” ที่สุดในศตวรรษที่ 21
บทความนี้ พี่จะพาทุกคนไปเจาะลึกกันว่า “ซัพพลายเชน” มันคืออะไร? ทำไมมันถึงกลายเป็น Game Changer ที่ทำให้บริษัทใหญ่ๆ ทั่วโลกต้องหันมามอง และที่สำคัญที่สุด ทำไมมันถึงเป็นโอกาสทองของคนรุ่นใหม่อย่างพวกเราในการสร้างอาชีพที่ทั้งมั่นคงและได้สร้างผลกระทบที่ดีให้กับโลกใบนี้ไปพร้อมๆ กัน
ก่อนอื่นเลย… ซัพพลายเชน คืออะไรกันแน่? (ฉบับเข้าใจง่ายใน 1 นาที)
ลองนึกภาพการเดินทางของ “เสื้อยืดรักษ์โลก” สักตัวนึงนะ:
- ต้นทาง: เริ่มจากไร่ฝ้ายออร์แกนิกในจังหวัดเลย ที่ปลูกฝ้ายโดยไม่ใช้สารเคมี (นี่คือวัตถุดิบ)
- แปรรูป: ฝ้ายถูกส่งไปที่โรงงานทอผ้าในจังหวัดสมุทรปราการ เพื่อปั่นเป็นเส้นด้ายและทอเป็นผืนผ้า
- ผลิต: ผืนผ้าถูกส่งต่อไปยังโรงงานตัดเย็บในกรุงเทพฯ เพื่อออกแบบ ตัดเย็บ และสกรีนลาย
- จัดเก็บ: เสื้อยืดที่เสร็จแล้วจะถูกส่งไปเก็บที่คลังสินค้า (Warehouse) เพื่อรอการกระจาย
- ขนส่ง: เมื่อมีคนสั่งซื้อออนไลน์ เสื้อจะถูกแพ็กใส่กล่องรีไซเคิลและส่งผ่านบริษัทขนส่งไปยังบ้านของเรา
- ปลายทาง: เราได้รับเสื้อยืด แล้วใส่เท่ๆ ไปเที่ยว!
เห็นมั้ย? เส้นทางทั้งหมดนี้ ตั้งแต่เกษตรกรผู้ปลูกฝ้าย คนงานในโรงงาน คนขับรถส่งของ ไปจนถึงแพลตฟอร์มออนไลน์ที่เรากดสั่งซื้อ ทั้งหมดนี้คือส่วนหนึ่งของ “ซัพพลายเชน” มันคือเครือข่ายที่เชื่อมโยงทุกกิจกรรมเข้าด้วยกันเพื่อให้สินค้าหรือบริการส่งถึงมือเรานั่นเอง
แล้ว “ความยั่งยืน” เข้ามาเกี่ยวอะไรด้วย? จุดเปลี่ยนที่โลกกำลังเรียกร้อง
ในอดีต เป้าหมายหลักของซัพพลายเชนอาจจะมีแค่ 3 อย่าง คือ เร็ว ถูก ดี แต่ในปัจจุบัน แค่นั้นไม่พออีกต่อไปแล้ว โลกกำลังเผชิญกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศ ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคม และผู้บริโภค (โดยเฉพาะ Gen Z อย่างพวกเรา) ก็ฉลาดและใส่ใจโลกมากขึ้น
ซัพพลายเชนยั่งยืน (Sustainable Supply Chain) จึงถือกำเนิดขึ้น โดยไม่ได้มองแค่เรื่อง “กำไร” (Profit) เพียงอย่างเดียว แต่ให้ความสำคัญกับอีก 2 เสาหลักที่ขาดไม่ได้ หรือที่เรียกกันว่า “Triple Bottom Line”:
- Planet (โลกและสิ่งแวดล้อม): ตลอดเส้นทางของซัพพลายเชน ต้องส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้น้อยที่สุด เช่น
- เลือกใช้วัตถุดิบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (ฝ้ายออร์แกนิก, พลาสติกรีไซเคิล)
- ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการขนส่ง (วางแผนเส้นทางให้ดีขึ้น, ใช้รถยนต์ไฟฟ้า)
- จัดการของเสียในโรงงานอย่างมีประสิทธิภาพ ลดการใช้น้ำและพลังงาน
- ออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่ย่อยสลายได้หรือนำกลับมาใช้ใหม่ได้
- People (ผู้คนและสังคม): ดูแลทุกคนที่อยู่ในห่วงโซ่ให้ดีที่สุด ตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ
- ไม่ใช้แรงงานเด็ก และไม่มีการบังคับใช้แรงงาน
- จ่ายค่าจ้างที่เป็นธรรม (Fair Wage) ให้กับเกษตรกรและคนงาน
- สร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ปลอดภัยและถูกสุขลักษณะ
- เคารพสิทธิมนุษยชนและสนับสนุนชุมชนในพื้นที่ที่เข้าไปดำเนินธุรกิจ
- Profit (ผลกำไรและเศรษฐกิจ): แน่นอนว่าธุรกิจต้องมีกำไร แต่ต้องเป็นกำไรที่มาจากการดำเนินงานอย่างมีจริยธรรมและยั่งยืน
- การทำธุรกิจแบบยั่งยืนช่วยลดความเสี่ยงในระยะยาว (เช่น ความเสี่ยงจากการขาดแคลนวัตถุดิบ, การถูกต่อต้านจากสังคม)
- สร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้แบรนด์ ดึงดูดลูกค้าและนักลงทุนที่ใส่ใจเรื่องความยั่งยืน
- นวัตกรรมเพื่อความยั่งยืนมักนำไปสู่การลดต้นทุนได้ในที่สุด (เช่น การประหยัดพลังงาน)
พูดง่ายๆ ก็คือ ซัพพลายเชนยั่งยืน คือการสร้างสมดุลให้ทั้ง “โลกดี คนอยู่ได้ ธุรกิจไปรอด” นั่นเอง
ทำไมธุรกิจถึง “ต้องการ” ผู้เชี่ยวชาญสายนี้ “มากกว่าที่เคย”?
นี่คือคำถามสำคัญ และคำตอบก็ชัดเจนมากครับ เหตุผลที่ตำแหน่ง “ผู้เชี่ยวชาญด้านซัพพลายเชนยั่งยืน” (Sustainable Supply Chain Specialist) กลายเป็นที่ต้องการตัวสุดๆ ในตอนนี้ ไม่ใช่แค่เทรนด์ แต่เป็นเพราะ “ความจำเป็น” ในการอยู่รอดของธุรกิจ
1. พลังของผู้บริโภค Gen Z: พวกเราไม่ยอม!
พวกเราเติบโตมากับข้อมูลข่าวสารที่ปลายนิ้ว เราเห็นผลกระทบของภาวะโลกร้อน เราแคร์เรื่องความเท่าเทียม เราพร้อมที่จะ “แบน” สินค้าจากแบรนด์ที่มีข่าวใช้แรงงานทาส และพร้อมที่จะสนับสนุนแบรนด์ที่โปร่งใสและใส่ใจโลก แม้จะต้องจ่ายแพงกว่านิดหน่อยก็ตาม พลังของโซเชียลมีเดียทำให้แบรนด์ไม่สามารถปิดบังเรื่องราวเบื้องหลังที่ไม่ดีได้อีกต่อไป “การโหวตด้วยเงินในกระเป๋า” (Vote with your wallet) ของพวกเรานี่แหละ คือแรงกดดันที่ทรงพลังที่สุด
2. กฎหมายและข้อบังคับระดับโลกที่เข้มงวดขึ้น
หลายประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะในยุโรปและอเมริกา เริ่มออกกฎหมายบังคับให้บริษัทต่างๆ ต้องรายงานผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสังคมในซัพพลายเชนของตัวเอง ไม่ใช่เรื่องของความสมัครใจอีกแล้ว ถ้าบริษัทไหนทำไม่ได้ตามเกณฑ์ ก็อาจจะถูกกีดกันทางการค้าหรือโดนค่าปรับมหาศาล สำหรับในไทยเอง รัฐบาลก็กำลังผลักดันโมเดลเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy) อย่างจริงจัง ซึ่งเน้นการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและการเติบโตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซัพพลายเชนยั่งยืนจึงเป็นหัวใจสำคัญของนโยบายนี้
3. ความเสี่ยงที่คาดไม่ถึงมีอยู่จริง
การระบาดของโควิด-19 และปัญหาสภาพอากาศแปรปรวนสุดขั้ว (น้ำท่วม, ภัยแล้ง) ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าซัพพลายเชนแบบเดิมๆ นั้นเปราะบางแค่ไหน โรงงานปิด, การขนส่งหยุดชะงัก, วัตถุดิบขาดแคลน บริษัทที่สร้างซัพพลายเชนที่ยืดหยุ่นและยั่งยืน (เช่น มีแหล่งวัตถุดิบที่หลากหลาย, พึ่งพาชุมชนท้องถิ่น) จะสามารถรับมือกับวิกฤตเหล่านี้ได้ดีกว่า การลงทุนในความยั่งยืนก็คือการ “ซื้อประกัน” ให้กับอนาคตของธุรกิจนั่นเอง
4. เทคโนโลยีเปลี่ยนโลกซัพพลายเชน
เทคโนโลยีสุดล้ำอย่าง Blockchain สามารถใช้ติดตามที่มาของสินค้าได้ตั้งแต่ฟาร์มจนถึงมือเรา สร้างความโปร่งใสแบบสุดๆ, AI (ปัญญาประดิษฐ์) ช่วยวางแผนเส้นทางขนส่งที่ประหยัดพลังงานที่สุด, และ IoT (Internet of Things) ช่วยตรวจสอบการใช้พลังงานในโรงงานได้แบบเรียลไทม์ การจะนำเทคโนโลยีเหล่านี้มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด จำเป็นต้องมี “คน” ที่เข้าใจทั้งเรื่องเทคโนโลยีและเป้าหมายด้านความยั่งยืน
แล้ว “ผู้เชี่ยวชาญด้านซัพพลายเชนยั่งยืน” เขาทำอะไรกัน?
ฟังดูเท่แล้วใช่มั้ย? อาชีพนี้ไม่ใช่แค่นั่งเฝ้าคลังสินค้าหรือดูรถบรรทุกวิ่งไปมานะ แต่มันคือการเป็น “นักสืบ”, “นักวางแผนกลยุทธ์” และ “นักเจรจาต่อรอง” ในคนๆ เดียวกันเลย หน้าที่หลักๆ ก็เช่น:
- วิเคราะห์และประเมิน (Audit): ลงพื้นที่หรือใช้ข้อมูลเพื่อตรวจสอบซัพพลายเออร์ (คู่ค้า) ของบริษัท ว่ามีการดำเนินงานที่สอดคล้องกับมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมหรือไม่
- วางกลยุทธ์ (Strategy): กำหนดเป้าหมายด้านความยั่งยืนของบริษัท เช่น “เราจะลดการปล่อยคาร์บอนในซัพพลายเชนลง 30% ภายในปี 2030” และวางแผนว่าจะทำได้อย่างไร
- สรรหาและร่วมมือ (Sourcing & Collaboration): ค้นหาซัพพลายเออร์รายใหม่ๆ ที่เป็นมิตรต่อโลกและสังคม และทำงานร่วมกับซัพพลายเออร์รายเดิมเพื่อช่วยให้พวกเขาพัฒนาตัวเอง
- ใช้ข้อมูลและเทคโนโลยี (Data & Tech): นำข้อมูลการขนส่ง, การใช้พลังงาน, ข้อมูลจากซัพพลายเออร์ มาวิเคราะห์เพื่อหาจุดที่ต้องปรับปรุง และนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาปรับใช้
- สื่อสารและรายงาน (Communication & Reporting): จัดทำรายงานด้านความยั่งยืนเพื่อสื่อสารกับนักลงทุน, ลูกค้า และสาธารณชนให้เห็นว่าบริษัทกำลังทำอะไรอยู่
พูดง่ายๆ คือ เป็นคนที่คอยทำให้แน่ใจว่าตลอดการเดินทางของสินค้า ตั้งแต่เม็ดทรายจนกลายเป็นแก้วน้ำ มัน “ดี” ต่อทั้งโลก, ต่อผู้คน, และต่อธุรกิจจริงๆ
Q&A ถาม-ตอบ ทุกข้อสงสัยสำหรับชาว Gen Z
Q: อาชีพสายนี้ดูน่าเบื่อ ต้องอยู่กับตัวเลขเยอะๆ รึเปล่า?
A: ไม่เลย! จริงอยู่ที่ต้องมีการวิเคราะห์ข้อมูล แต่หัวใจของงานคือการ “แก้ปัญหา” และ “สื่อสารกับคน” เราจะได้คุยกับคนหลากหลายมาก ตั้งแต่เกษตรกรในชุมชน, ผู้จัดการโรงงาน, ไปจนถึงผู้บริหารระดับสูง แถมยังอาจจะได้เดินทางไปดูงานในที่ต่างๆ อีกด้วย มันคือการผสมผสานระหว่างทักษะการวิเคราะห์ (Hard Skills) และทักษะการเข้าสังคม (Soft Skills) อย่างลงตัว
Q: ต้องเรียนคณะอะไร ถึงจะทำงานสายนี้ได้?
A: สาขาการจัดการโลจิสติกส์และโซ่อุปทาน วิทยาลัยโลจิสติกส์และซัพพลายเชน SPU เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับใครที่สนใจเส้นทางอาชีพนี้ การเรียนที่นี่จะช่วยให้น้องๆ เข้าใจภาพรวมของห่วงโซ่อุปทานทั้งหมด ตั้งแต่การจัดซื้อไปจนถึงการขนส่งและการกระจายสินค้า นอกจากนี้ยังได้เรียนรู้เรื่องสำคัญอย่าง การจัดการห่วงโซ่อุปทานอย่างยั่งยืน และการใช้เทคโนโลยีล้ำสมัย ซึ่งจะทำให้น้องๆ มีทักษะที่ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงานในปัจจุบันและอนาคตอย่างแท้จริง
Q: แล้วถ้าอยากเตรียมตัวตั้งแต่ตอนนี้ ควรทำอะไรดี?
A: เยี่ยมมาก! เริ่มได้เลยตั้งแต่ม.ปลาย:
- ติดตามข่าวสาร: อ่านข่าวเกี่ยวกับปัญหาสิ่งแวดล้อม, สิทธิมนุษยชน และดูว่าแบรนด์ต่างๆ เขาปรับตัวกันยังไง
- ฝึกภาษาอังกฤษ: ซัพพลายเชนเป็นเรื่องระดับโลก การสื่อสารภาษาอังกฤษได้ดีคือข้อได้เปรียบมหาศาล
- ฝึกคิดเป็นระบบ: ลองมองสิ่งของรอบตัว แล้วลองคิดย้อนกลับไปว่ามันน่าจะเดินทางมาจากไหน มีใครเกี่ยวข้องบ้าง
- เข้าร่วมกิจกรรม: ลองเข้าค่ายสิ่งแวดล้อม หรือทำโครงงานที่เกี่ยวกับปัญหาในชุมชน จะช่วยเปิดมุมมองของเราได้ดีมาก
Q: ในไทยมีบริษัทไหนที่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้บ้าง?
A: มีเยอะมาก! โดยเฉพาะบริษัทใหญ่ๆ ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เช่น กลุ่มบริษัทในเครือ SCG, CP, PTT, ไทยเบฟเวอเรจ หรือบริษัทต่างชาติที่มีฐานการผลิตในไทยอย่าง Unilever, Nestlé รวมถึงแบรนด์ไทยรุ่นใหม่ๆ ที่เกิดมาพร้อมกับ DNA ของความยั่งยืนเลยก็มีให้เห็นมากขึ้นเรื่อยๆ ลองเข้าไปดูใน “รายงานความยั่งยืน” (Sustainability Report) ของบริษัทเหล่านี้ได้เลย รับรองว่าได้ความรู้เพียบ!
อนาคตอยู่ในมือของคนสร้าง “โซ่แห่งคุณค่า”
โลกกำลังเปลี่ยนไป และธุรกิจก็ต้องเปลี่ยนตาม ซัพพลายเชนที่เคยเน้นแค่ความเร็วและราคาถูก กำลังถูกแทนที่ด้วย “ห่วงโซ่แห่งคุณค่าที่ยั่งยืน” (Sustainable Value Chain) ที่คำนึงถึงผลกระทบในทุกมิติ
นี่ไม่ใช่แค่โอกาสในการทำงาน แต่เป็นโอกาสที่คนรุ่นใหม่อย่างพวกเราจะได้ใช้ความสามารถ ความรู้ และแพสชั่น มาสร้างความเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง เราไม่ได้เป็นแค่ “ผู้บริโภค” ที่รอรับสินค้า แต่เราสามารถเป็น “ผู้สร้าง” ระบบที่ทำให้โลกใบนี้น่าอยู่ขึ้นได้
ถ้าเธอคือคนหนึ่งที่เชื่อว่าธุรกิจสามารถเป็นพลังในการทำความดีได้, ถ้าเธอสนุกกับการแก้ปัญหาที่ซับซ้อน, และถ้าเธออยากมีอาชีพที่ตื่นมาแล้วรู้สึกว่างานที่ทำมันมีความหมาย… บางที “ผู้เชี่ยวชาญด้านซัพพลายเชนยั่งยืน” อาจจะเป็นเส้นทางที่รอเธออยู่ก็ได้นะ 🙂
วิทยาลัยโลจิสติกส์และซัพพลายเชน SPU
No.1 in Thailand
หลักสูตร Update ทันเทรนด์โลจิสติกส์ยุค AI เรียนด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย
ในห้อง Lab สุดไฮเทค เข้าใจเทคนิคการจัดการโลจิสติกส์และโซ่อุปทาน
และโอกาสได้ฝึกงานกับบริษัทด้านโลจิสติกส์ระดับโลกระดับโลก
- การจัดการโลจิสติกส์และโซ่อุปทาน
เจาะลึกครอบคลุมตั้งแต่ จัดซื้อ จัดเก็บ ควบคุม บรรจุ ขนส่ง กระจายสินค้า และบริการ
รวมถึงการนำเข้า-ส่งออกสินค้า พร้อมรับมือการเปลี่ยนแปลงทุกธุรกิจ
>> สมัครออนไลน์ คลิกที่นี่ <<