ทำงานไปด้วย เรียนต่อไปด้วย: จัดสมดุลชีวิตและพัฒนาตนในสายอาชีพ
คุณอาจจะกำลังนั่งอ่านบทความนี้ระหว่างพักกลางวัน หลังเพิ่งพรีเซนต์งานใหญ่เสร็จ หรืออาจจะอยู่บนรถไฟฟ้าที่กำลังมุ่งหน้าไปเข้าคลาสเรียนภาคค่ำ ไม่ว่าคุณจะอยู่ในสถานการณ์ไหน ขอให้รู้ไว้ว่าคุณไม่ได้อยู่คนเดียว และการตัดสินใจครั้งนี้คือหนึ่งในการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดในชีวิต แม้ว่าระหว่างทางมันจะเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า ความกดดัน และคำถามในใจนับครั้งไม่ถ้วนก็ตาม
ทำไมเราถึงเลือกทางที่ ‘ยาก’ แต่ ‘คุ้มค่า’ ที่สุด? อย่างเช่นการทำงานไปด้วย เรียนต่อไปด้วย
ก่อนจะไปถึงเทคนิคและวิธีการต่างๆ เรามาย้ำเตือน “WHY” หรือ “เหตุผล” ที่ทำให้เราลุกขึ้นมาสู้ในทุกๆ วันกันก่อน การมีเป้าหมายที่ชัดเจนเปรียบเสมือนแสงประภาคารในวันที่คลื่นลมชีวิตโหมกระหน่ำ
- เพื่อการเติบโตในสายอาชีพ (Career Advancement): การเรียนต่อปริญญาโทหรือคอร์สเฉพาะทาง คือการติดอาวุธทางปัญญา เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เปิดประตูสู่ตำแหน่งงานที่สูงขึ้น และแน่นอนว่า… นำมาซึ่งรายได้ที่มากขึ้น
- เพื่อการเปลี่ยนแปลงสายงาน (Career Transition): สำหรับบางคน นี่คือโอกาสในการ Reset และเริ่มต้นใหม่ในสายอาชีพที่ใฝ่ฝัน การเรียนคือสะพานที่เชื่อมโยงเราไปสู่โลกใบใหม่ที่เราอยากเป็นส่วนหนึ่ง
- เพื่อการพัฒนาตนเองอย่างไม่สิ้นสุด (Personal Growth): ความรู้ไม่ได้อยู่แค่ในตำรา แต่คือการได้พบปะผู้คนใหม่ๆ แลกเปลี่ยนมุมมอง ได้ฝึกฝนการคิดวิเคราะห์ และก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเอง สิ่งเหล่านี้หล่อหลอมให้เราเป็นเวอร์ชันที่ดีกว่าเดิม
- เพื่อเป็นแรงบันดาลใจ (To Be an Inspiration): การเป็นคนที่มุ่งมั่นและไม่หยุดที่จะเรียนรู้ คือการสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมงาน รุ่นน้อง หรือแม้กระทั่งคนในครอบครัว
เปลี่ยน Mindset ก่อนเลย: คุณคือซูเปอร์วูแมน-ซูเปอร์แมนในโลกความจริง ที่เลือกเส้นทางเรียนไปด้วย ทำงานไปด้วย
หัวใจสำคัญของการไปให้รอดบนเส้นทางนี้ ไม่ใช่แค่การจัดการเวลา แต่คือการจัดการ “ความคิดและหัวใจ” ของเราเอง
ยอมรับว่า “ทำทุกอย่างให้เพอร์เฟกต์ไม่ได้”
เลิกกดดันตัวเองว่างานต้องเป๊ะ 100% เกรดต้อง A ทุกวิชา และยังต้องมีเวลาไปออกกำลังกาย ทำอาหารคลีนอีก ปล่อยวางความสมบูรณ์แบบลงบ้าง ในโลกความจริง “ดีพอ” (Good Enough) ก็ถือว่ายอดเยี่ยมแล้ว งานบางชิ้นอาจจะเสร็จที่ 80% เพื่อให้เรามีแรงไปอ่านหนังสือสอบ หรือบางครั้งอาจจะต้องยอมได้เกรด B เพื่อให้เราได้นอนหลับเต็มอิ่ม มันคือการเลือกและการจัดลำดับความสำคัญ
ฉลองให้กับชัยชนะเล็กๆ (Celebrate Small Wins)
อย่ารอฉลองแค่ตอนเรียนจบหรือได้เลื่อนตำแหน่ง! การทำงานไปด้วย เรียนต่อไปด้วย เป็นการเดินทางที่ยาวไกล ลองให้รางวัลตัวเองกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในแต่ละวันหรือแต่ละสัปดาห์ เช่น
- ส่งรายงานอาจารย์ทันเดดไลน์พอดี: ให้รางวัลตัวเองด้วยการดูซีรีส์เรื่องโปรดสักตอน
- พรีเซนต์งานกับลูกค้าผ่านฉลุย: นัดกินข้าวกับเพื่อนสนิท
- อ่านหนังสือจบไปหนึ่งบท: สั่งชานมไข่มุกหวานน้อยมาเติมพลัง
การทำแบบนี้จะช่วยเติมพลังใจให้เรามีแรงฮึดสู้ต่อไปได้อีกยาวๆ
เคล็ดลับจัดสรรเวลาฉบับ Working Person 4.0: บริหาร 24 ชั่วโมงให้เหมือนมี 48 ชั่วโมง ตามไลฟ์สไตล์ของคนที่ทำงานไปด้วย เรียนต่อไปด้วย
เวลาคือทรัพยากรที่มีค่าที่สุดของเรา การบริหารจัดการเวลาอย่างชาญฉลาดคือทักษะที่จะตัดสินว่าเราจะ “รอด” หรือ “ร่วง” มาดูเทคนิคที่ใช้ได้จริงต่อไปนี้กัน
1. Time Blocking: ‘จองคิว’ ให้กับทุกเรื่องในชีวิต
เปิด Google Calendar หรือแอปแพลนเนอร์คู่ใจขึ้นมา แล้ว “บล็อกเวลา” ให้กับทุกกิจกรรม ไม่ใช่แค่เรื่องงานกับเรื่องเรียน แต่รวมถึงเรื่องส่วนตัวด้วย เช่น
- 09:00 – 12:00: Focus Work – ตอบอีเมลสำคัญ, ทำโปรเจกต์ A
- 12:00 – 13:00: Lunch & Relax – กินข้าวกลางวัน (และห้ามเอางานมาทำ!)
- 20:00 – 21:30: เคลียร์งานของมหาวิทยาลัย (ใช้เวลานี้ฟัง Podcast หรือทวนบทเรียน)
- 22:30 – 23:00: Me-Time – อ่านหนังสือ, ฟังเพลง, นั่งสมาธิ
การทำ Time Blocking ช่วยให้เราเห็นภาพรวมของวันและสัปดาห์ ลดการตัดสินใจที่ไม่จำเป็น และทำให้เรารู้สึกว่าสามารถควบคุมชีวิตตัวเองได้มากขึ้น
2. The Pomodoro Technique: เทคนิคจับเวลาพิชิตงาน
สำหรับงานที่ต้องใช้สมาธิสูงๆ อย่างการเขียนรายงานหรืออ่านหนังสือสอบ ลองใช้เทคนิค Pomodoro ดูค่ะ หลักการง่ายๆ คือ:
- ตั้งใจทำงาน 1 อย่าง เป็นเวลา 25 นาที (ห้ามวอกแวกเด็ดขาด!)
- เมื่อครบ 25 นาที ให้พัก 5 นาที (ลุกไปยืดเส้นยืดสาย, ดื่มน้ำ)
- ทำครบ 4 รอบ (2 ชั่วโมง) ให้พักยาว 15-30 นาที
เทคนิคนี้ช่วยป้องกันอาการสมองล้าและภาวะหมดไฟได้อย่างดีเยี่ยม
3. เปลี่ยนเวลาที่สูญเปล่าให้เป็น ‘นาทีทอง’
ชีวิตคนทำงานในเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพฯ เราเสียเวลาไปกับการเดินทางเยอะมาก ลองเปลี่ยนช่วงเวลารถติดบนถนนสาทร หรือการยืนรอรถไฟฟ้าที่สถานีสยาม ให้กลายเป็นช่วงเวลาแห่งการเรียนรู้
- Audiobooks & Podcasts: ฟังสรุปหนังสือธุรกิจ หรือ Podcast ที่เกี่ยวข้องกับสายงาน/วิชาที่เรียน
- Flashcards App: ใช้แอปท่องศัพท์หรือทบทวนคีย์เวิร์ดสำคัญๆ
- Lecture Recordings: หากอาจารย์อนุญาตให้อัดเสียง/วิดีโอ นี่คือโอกาสทองในการทบทวนบทเรียน
สมดุลในที่ทำงาน: ทำงานสมาร์ท ไม่ใช่ทำงานหนัก
การเรียนต่อไม่ได้หมายความว่าประสิทธิภาพการทำงานของเราต้องลดลง ตรงกันข้าม เราต้องทำงานให้ฉลาดขึ้น เพื่อให้มีเวลาและพลังงานเหลือไปทุ่มเทให้กับการเรียน
- สื่อสารกับหัวหน้าและทีม: บอกให้หัวหน้าและเพื่อนร่วมทีมทราบว่าคุณกำลังเรียนต่อ (ไม่จำเป็นต้องลงรายละเอียด) เพื่อให้พวกเขาเข้าใจและสามารถวางแผนการทำงานร่วมกับคุณได้ง่ายขึ้น การสื่อสารอย่างโปร่งใสจะช่วยลดความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นได้
- ตั้งเป้าหมายรายวัน (Daily Top 3): ก่อนเริ่มงานทุกวัน ลิสต์งานที่สำคัญที่สุด 3 อย่างที่ต้องทำให้เสร็จให้ได้ การทำแบบนี้ช่วยให้เราโฟกัสกับสิ่งที่สำคัญจริงๆ และไม่หลงทางไปกับงานจุกจิก
- รู้จักปฏิเสธอย่างนุ่มนวล: คำว่า “ไม่” คือเพื่อนที่ดีที่สุดของคุณในช่วงนี้ หากมีงานด่วน งานแทรก หรืองานที่ไม่ใช่หน้าที่ของคุณโดยตรงเข้ามา ลองเรียนรู้ที่จะปฏิเสธอย่างสุภาพ เช่น “ตอนนี้ยังไม่สะดวกเลยค่ะ พอดีติดเดดไลน์โปรเจกต์ X อยู่ แต่ถ้าเสร็จแล้วจะรีบดูให้นะคะ” หรือ “เรื่องนี้อาจจะเหมาะกับคุณ Y มากกว่านะคะ เขาน่าจะให้ข้อมูลได้ดีกว่า”
อย่าลืม ‘เรา’: Self-Care คือสิ่งจำเป็น ไม่ใช่เรื่องฟุ่มเฟือย
นี่คือเรื่องที่สำคัญที่สุดและมักจะเป็นสิ่งแรกที่ถูกลืมไป… การดูแลตัวเองค่ะ ร่างกายและจิตใจของเราคือเครื่องมือชิ้นเดียวที่เรามี หากมันพัง ทุกอย่างก็จบ
“การดูแลตัวเองไม่ใช่ความเห็นแก่ตัว แต่มันคือการเติมน้ำมันให้กับรถ เพื่อให้คุณสามารถขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่าได้”
- การนอน: ตั้งเป้านอนให้ได้ 6-7 ชั่วโมงต่อคืน การอดนอนเพื่ออ่านหนังสือหรือทำงาน อาจให้ผลดีในระยะสั้น แต่จะส่งผลเสียร้ายแรงต่อสุขภาพและประสิทธิภาพของสมองในระยะยาว
- อาหาร: พยายามทานอาหารให้เป็นเวลาและมีประโยชน์ เตรียมของว่างสุขภาพดีติดโต๊ะไว้ เช่น อัลมอนด์, ผลไม้ เพื่อป้องกันการโหยของหวานหรือกาแฟแก้วที่สี่ของวัน
- การเคลื่อนไหว: ไม่จำเป็นต้องเข้ายิมหนักๆ ทุกวัน แค่ลุกขึ้นเดินยืดเส้นยืดสายทุกๆ ชั่วโมง การเดินขึ้นบันไดแทนลิฟต์ หรือการเล่นโยคะเบาๆ ก่อนนอน 15 นาที ก็สร้างความแตกต่างได้อย่างมหาศาล
- หาเวลา ‘ตัดขาด’: หาเวลาอย่างน้อย 30 นาทีต่อวันเพื่อทำกิจกรรมที่ไม่เกี่ยวกับงานและเรียนเลย เช่น คุยโทรศัพท์กับคุณแม่, เล่นกับสัตว์เลี้ยง, รดน้ำต้นไม้, ฟังเพลงโปรด กิจกรรมเหล่านี้คือการชาร์จแบตเตอรี่ให้หัวใจ
เมื่อวันที่ใจท้อมาถึง: 4 วิธีรับมือกับ Burnout และความกดดัน
มันต้องมีวันนั้น… วันที่รู้สึกว่า “ไม่ไหวแล้ว” “อยากเลิกทุกอย่าง” เป็นเรื่องปกติธรรมดามากค่ะ สิ่งสำคัญคือต้องรู้เท่าทันอารมณ์ตัวเองและหาวิธีรับมือ
- ยอมรับความรู้สึก: อย่าปฏิเสธความรู้สึกเหนื่อย ท้อ หรือหมดหวัง ยอมรับว่ามันเกิดขึ้นได้ และมันเป็นแค่ “สภาวะชั่วคราว”
- หาที่พึ่งทางใจ: ระบายให้ใครสักคนฟัง ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนสนิท ครอบครัว หรือแฟน การได้พูดออกมาจะช่วยให้รู้สึกดีขึ้นมาก หรือบางทีอาจจะลองปรึกษาเพื่อนร่วมคลาสที่น่าจะเข้าใจสถานการณ์ของเราได้ดีที่สุด
- ถอยออกมาหนึ่งก้าว: หากรู้สึกว่าทุกอย่างมันหนักหนาเกินไป ลอง “หยุด” สักหนึ่งวันเต็มๆ ลาป่วย ลางาน ไม่ต้องจับหนังสือ ไม่ต้องเปิดคอมพิวเตอร์ ไปทำในสิ่งที่ชอบจริงๆ ไปนวด ไปดูหนัง หรือแค่นอนโง่ๆ อยู่บ้าน การหยุดพักไม่ใช่การยอมแพ้ แต่คือการตั้งหลักเพื่อไปต่อ
- กลับไปที่ “WHY”: หยิบเหตุผลที่คุณเขียนไว้ตอนต้นขึ้นมาอ่านอีกครั้ง เตือนตัวเองว่าเราเริ่มต้นเส้นทางนี้มาเพื่ออะไร ความฝันและเป้าหมายของเราจะกลายเป็นเชื้อเพลิงชั้นดีให้ลุกขึ้นสู้อีกครั้ง
เส้นทางของการทำงานไปพร้อมกับเรียนต่อ คือการวิ่งมาราธอน ไม่ใช่การวิ่งร้อยเมตร มันต้องอาศัยวินัย ความอดทน และที่สำคัญที่สุดคือความเมตตาต่อตนเอง คุณคือคนที่กล้าหาญและสุดยอดมากที่เลือกเดินบนเส้นทางนี้ จงภูมิใจในทุกก้าวที่เดิน ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ก็ตาม