Hub Contentป.โทเอก Business Content

Hybrid Work Trend: รูปแบบการทำงานผสมผสานที่คนทำงานต้องรู้

Hybrid Work Trend: รูปแบบการทำงานผสมผสานที่คนทำงานต้องรู้

Hybrid Work Trend: รูปแบบการทำงานผสมผสานที่คนทำงานต้องรู้

โลกของการทำงานเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา รูปแบบการทำงานแบบดั้งเดิมที่ต้องเข้าออฟฟิศทุกวันกำลังถูกแทนที่ด้วยโมเดลที่ยืดหยุ่นกว่า และ Hybrid Work Trend ก็ได้กลายเป็นกระแสหลักที่องค์กรและ คนทำงาน ทั่วโลกต่างให้ความสนใจ บทความนี้จะเจาะลึกทุกแง่มุมของ Trend การทำงานแห่งอนาคตนี้

1. Hybrid Work คืออะไร?

Hybrid คือรูปแบบการทำงานที่ผสมผสานระหว่างการทำงานในออฟฟิศ (In-Office) และการทำงานจากระยะไกล (Remote Work) โดยไม่มีกฎตายตัว แต่ละองค์กรสามารถออกแบบโมเดลที่เหมาะสมกับตัวเองได้ เช่น

  • At-Office-First: เน้นการทำงานที่ออฟฟิศเป็นหลัก แต่ให้พนักงานเลือกทำงานจากที่บ้านได้สัปดาห์ละ 1-2 วัน
  • Remote-First: เน้นการทำงานทางไกลเป็นหลัก และให้พนักงานเข้ามาที่ออฟฟิศเป็นครั้งคราวเพื่อประชุมหรือทำกิจกรรมร่วมกัน
  • Flexible Model: ให้อิสระแก่ คนทำงาน ในการเลือกวันและเวลาที่จะเข้าออฟฟิศได้เองตามความเหมาะสม

Trend การทำงานแบบผสมผสานนี้ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว เพราะตอบโจทย์ความต้องการของทั้งองค์กรและ คนทำงาน ในหลายมิติ

  • สร้าง Work-Life Balance ที่ดีขึ้น: คนทำงาน มีความยืดหยุ่นในการจัดการเวลา ลดความเครียดจากการเดินทาง และมีเวลาให้กับครอบครัวหรือกิจกรรมส่วนตัวมากขึ้น
  • เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน: การทำงานจากบ้านช่วยให้มีสมาธิกับงานที่ต้องใช้ความคิด ในขณะที่การเข้าออฟฟิศเอื้อต่อการระดมสมองและสร้างความสัมพันธ์กับทีม
  • ดึงดูดและรักษาบุคลากรที่มีคุณภาพ: ความยืดหยุ่นกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ คนทำงาน รุ่นใหม่ใช้ตัดสินใจเลือกองค์กร
  • ลดต้นทุนค่าใช้จ่าย: องค์กรสามารถลดขนาดพื้นที่สำนักงาน ส่วนพนักงานก็ประหยัดค่าเดินทางและค่าครองชีพอื่น ๆ

3. ความท้าทายของโมเดลการทำงานแบบผสมผสาน

แม้จะมีข้อดีมากมาย แต่การทำงานแบบ Hybrid ก็มาพร้อมกับความท้าทายที่ทั้งองค์กรและ คนทำงาน ต้องเตรียมรับมือ

  • ความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงข้อมูล: อาจเกิดช่องว่างทางการสื่อสารระหว่างทีมที่ทำงานในออฟฟิศและทีมที่ทำงานทางไกล
  • ความรู้สึกโดดเดี่ยว: การไม่ได้พบปะเพื่อนร่วมงานเป็นประจำอาจทำให้รู้สึกขาดการเชื่อมต่อกับทีมและวัฒนธรรมองค์กร
  • ความปลอดภัยทางไซเบอร์: การทำงานจากเครือข่ายภายนอกองค์กรเพิ่มความเสี่ยงต่อการถูกโจมตีทางไซเบอร์

4. เคล็ดลับสู่ความสำเร็จสำหรับคนทำงานในยุคไฮบริด

เพื่อปรับตัวให้เข้ากับ Trend การทำงานนี้ คนทำงาน ควรให้ความสำคัญกับสิ่งต่อไปนี้

  • สร้างวินัยและกำหนดเวลาทำงานที่ชัดเจน: กำหนดขอบเขตระหว่างเวลางานและเวลาส่วนตัวเพื่อป้องกันภาวะหมดไฟ
  • สื่อสารอย่างสม่ำเสมอ (Over-communicate): อัปเดตความคืบหน้าของงานให้ทีมทราบอยู่เสมอผ่านเครื่องมือต่าง ๆ
  • จัดสภาพแวดล้อมให้เอื้อต่อการทำงาน: ไม่ว่าจะที่บ้านหรือที่ออฟฟิศ ควรมีพื้นที่ที่เหมาะสมและปราศจากสิ่งรบกวน
  • ให้ความสำคัญกับการสร้างปฏิสัมพันธ์: ใช้โอกาสในการเข้าออฟฟิศเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนร่วมงาน

จากการศึกษาของ McKinsey พบว่าพนักงานกว่า 87% ที่ได้รับโอกาสทำงานแบบยืดหยุ่นเลือกที่จะรับมันไว้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่านี่ไม่ใช่แค่ Trend ชั่วคราว แต่เป็นอนาคตของการทำงาน

5. คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

การทำงานแบบไฮบริดเหมาะกับทุกตำแหน่งงานหรือไม่?

ไม่เสมอไป ตำแหน่งงานที่ต้องให้บริการลูกค้าหน้าร้าน (Customer-facing) หรือต้องใช้อุปกรณ์เฉพาะทางในโรงงานอาจไม่เหมาะกับโมเดลนี้ แต่ตำแหน่งงานส่วนใหญ่ในสายงานออฟฟิศสามารถปรับใช้ได้

องค์กรจะวัดผลการทำงานของพนักงานได้อย่างไร?

ควรเปลี่ยนจากการวัดผลด้วย “ชั่วโมงที่ใช้ในออฟฟิศ” มาเป็นการวัดผลจาก “ผลลัพธ์ของงาน” (Outcome-based) โดยกำหนดเป้าหมายและตัวชี้วัด (KPIs/OKRs) ที่ชัดเจนและวัดผลได้จริง

เครื่องมือที่จำเป็นสำหรับคนทำงานในโมเดลไฮบริด มีอะไรบ้าง?

ประกอบด้วย 3 กลุ่มหลัก คือ 1) เครื่องมือสื่อสาร (เช่น Slack, Microsoft Teams) 2) เครื่องมือบริหารจัดการโปรเจกต์ (เช่น Asana, Trello) และ 3) ระบบจัดเก็บข้อมูลบนคลาวด์ (เช่น Google Drive, OneDrive) เพื่อให้ทุกคนเข้าถึงข้อมูลได้จากทุกที่

(Visited 4 times, 1 visits today)

Related posts

สร้างแรงบันดาลใจจาก Lifelong Learning: การเรียนรู้ตลอดชีวิตเพื่อความสำเร็จและการพัฒนาตนเอง

Wadee

เปรียบเทียบ Upskills ด้วยวุฒิปริญญาโทและปริญญาเอก: ควรศึกษาต่อระดับไหนให้ตอบโจทย์อนาคต

Wadee

จริยธรรมและวินัยของนักบริหารกับการต่อยอดองค์ความรู้ในหลักสูตรป.เอกด้านนิติรัฐกิจและบริหารภาครัฐและเอกชน

Wadee