ป.โทเอก Business Content

5 ทักษะ AI (AI Skill) ที่ผู้บริหารยุคใหม่ต้องมีในปี 2025

AI Skill

5 ทักษะ AI (AI Skill) ที่ผู้บริหารยุคใหม่ต้องมี เพื่อทะยานสู่ความสำเร็จในปี 2025

การเปลี่ยนแปลงไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่คือการอยู่รอด โดยเฉพาะสำหรับ ‘ผู้นำ’ ที่ต้องนำทัพองค์กรฝ่าคลื่นแห่งความท้าทาย และหนึ่งในคลื่นลูกที่ใหญ่ที่สุดที่กำลังซัดเข้ามาคือ ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI

AI ไม่ใช่แค่เครื่องมือหรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์อีกต่อไป แต่มันคือเพื่อนร่วมงาน คือผู้ช่วย คือตัวเร่งปฏิกิริยาที่จะเปลี่ยนโฉมหน้าทุกอุตสาหกรรมในประเทศไทย การรอให้คนอื่นนำ แล้วเราค่อยตาม ไม่ใช่สไตล์ของผู้นำยุคใหม่อีกแล้ว ปี 2025 คือเส้นชัยที่เราต้องไปให้ถึงก่อน และนี่คือ 5 ทักษะสำคัญที่คุณในฐานะผู้นำต้องมี เพื่อใช้ AI Skill เป็นปีกพาองค์กรของคุณทะยานไปข้างหน้าอย่างสง่างาม

1. วิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์และความเข้าใจ AI (Strategic AI Vision & Literacy)

ทักษะแรกไม่ใช่การเขียนโค้ด แต่คือการมองให้ออก… มองให้ออกว่า AI Skill จะเข้ามาสร้างคุณค่าให้กับธุรกิจของเราได้อย่างไร คุณไม่จำเป็นต้องเป็น Data Scientist แต่คุณต้องเป็น “นักยุทธศาสตร์ AI” ที่สามารถเชื่อมโยงเทคโนโลยีเข้ากับเป้าหมายสูงสุดขององค์กรได้

ทำไมทักษะนี้ถึงสำคัญ?

เพราะการลงทุนใน AI โดยไม่มีกลยุทธ์ ก็เหมือนการสร้างเรือที่หรูหราแต่ไม่มีหางเสือ ไม่รู้ว่าจะแล่นไปทิศทางไหน สุดท้ายก็สูญเงินและเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ องค์กรมากมายในไทยกำลังตื่นเต้นกับ AI แต่มีเพียงไม่กี่แห่งที่เข้าใจอย่างแท้จริงว่าจะนำมันมาแก้ปัญหาทางธุรกิจ หรือสร้างโอกาสใหม่ๆ ได้อย่างไร ผู้นำที่มีวิสัยทัศน์เท่านั้นที่จะแยก “ของเล่น” ออกจาก “เครื่องมือเปลี่ยนโลก” ได้

ในฐานะผู้นำ… เราจะเริ่มต้นอย่างไร?

  • เริ่มจาก “ทำไม” (Start with Why): อย่าเพิ่งถามว่า “เราจะใช้ AI ตัวไหนดี?” แต่ให้ถามว่า “ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของธุรกิจเราตอนนี้คืออะไร?” หรือ “โอกาสที่เรายังคว้ามาไม่ได้คืออะไร?” แล้วค่อยมองว่า AI จะเข้ามาตอบโจทย์นั้นได้อย่างไร
  • เรียนรู้ภาษาของ AI: ทำความเข้าใจคำศัพท์พื้นฐาน เช่น Machine Learning, Deep Learning, Generative AI, LLMs ไม่ใช่เพื่อไปคุยกับเทคนิค แต่เพื่อที่คุณจะสามารถตั้งคำถามที่ถูกต้องและเข้าใจข้อจำกัดของมันได้
  • มองหา Use Case ในและนอกอุตสาหกรรม: ศึกษาว่าบริษัทอื่น ๆ ทั้งในธุรกิจเดียวกันและธุรกิจอื่น ๆ เขาใช้ AI ทำอะไรกันบ้าง บางทีไอเดียที่ดีที่สุดอาจมาจากการประยุกต์ใช้ข้ามสายงาน
  • สร้าง “Lighthouse Project”: เริ่มจากโครงการนำร่องเล็กๆ ที่เห็นผลเร็วและวัดผลได้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและเรียนรู้ไปพร้อมกับทีม

“วิสัยทัศน์ AI ไม่ใช่การทำนายอนาคต แต่คือการสร้างอนาคตที่องค์กรของคุณอยากจะไปให้ถึง โดยมี AI เป็นเครื่องมือสำคัญในการเดินทาง”

ผู้บริหารหญิงกำลังวางแผนกลยุทธ์ AI บนกระดานไวท์บอร์ด

2. ภาวะผู้นำด้านจริยธรรมและธรรมาภิบาล AI (AI Ethics & Governance Leadership)

พลังที่ยิ่งใหญ่มาพร้อมกับความรับผิดชอบที่ใหญ่ยิ่ง… คำพูดนี้จริงที่สุดเมื่อพูดถึง AI ในฐานะผู้นำ เราไม่ได้มีหน้าที่แค่แสวงหาผลกำไร แต่เรามีหน้าที่สร้างการเติบโตที่ยั่งยืนและเป็นธรรม การตัดสินใจของ AI อาจส่งผลกระทบต่อชีวิตคน ตั้งแต่การคัดเลือกพนักงาน การอนุมัติสินเชื่อ ไปจนถึงการให้บริการลูกค้า ทักษะด้านจริยธรรมจึงไม่ใช่แค่ “เรื่องที่ควรมี” แต่เป็น “เรื่องที่ต้องมี”

ทำไมทักษะนี้ถึงสำคัญ?

AI เรียนรู้จากข้อมูลที่มนุษย์สร้างขึ้น หากข้อมูลนั้นมีอคติ (Bias) แฝงอยู่ เช่น อคติทางเพศ เชื้อชาติ หรืออายุ… AI ก็จะเรียนรู้และขยายอคตินั้นให้ใหญ่ขึ้นไปอีก การปล่อยให้ AI ทำงานโดยขาดการกำกับดูแล อาจนำไปสู่การตัดสินใจที่ไม่เป็นธรรม สร้างความเสียหายต่อชื่อเสียงของแบรนด์ และอาจผิดกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) ที่เข้มงวดขึ้นเรื่อยๆ ในประเทศไทย

ในฐานะผู้นำ… เราจะเริ่มต้นอย่างไร?

  • ตั้งคำถามที่ท้าทาย: ถามทีมเสมอว่า “ข้อมูลที่เราใช้สอน AI มาจากไหน? มันเป็นตัวแทนของลูกค้าเราทุกคนจริงหรือไม่?” “การตัดสินใจของโมเดลนี้โปร่งใสแค่ไหน? เราอธิบายให้ลูกค้าฟังได้หรือไม่?”
  • สร้างคณะทำงานด้านจริยธรรม AI (AI Ethics Committee): ตั้งทีมที่มาจากหลากหลายแผนก (กฎหมาย, HR, IT, การตลาด) เพื่อร่วมกันกำหนดกรอบการใช้งาน AI ขององค์กร
  • ให้ความสำคัญกับความโปร่งใส (Transparency): สื่อสารกับลูกค้าและพนักงานอย่างชัดเจนว่าองค์กรนำ AI มาใช้อย่างไร และมีมาตรการป้องกันความเสี่ยงอย่างไรบ้าง
  • ปกป้องข้อมูลคือหัวใจ: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าทุกโครงการ AI ปฏิบัติตามกฎหมาย PDPA อย่างเคร่งครัด การรักษาความไว้วางใจของลูกค้าคือสินทรัพย์ที่ประเมินค่าไม่ได้

“การเป็นผู้นำในยุค AI ไม่ได้วัดกันที่ความเร็วในการนำเทคโนโลยีมาใช้ แต่วัดกันที่ความรับผิดชอบในการนำเทคโนโลยีนั้นมาสร้างประโยชน์ให้ทุกคนอย่างเท่าเทียม”

3. การตัดสินใจบนฐานข้อมูลและการตีความ (Data-Driven Decision Making & Interpretation)

สัญชาตญาณและประสบการณ์ยังคงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้นำ แต่ในยุค AI สองสิ่งนี้ต้องทำงานร่วมกับ “ข้อมูล” อย่างแยกไม่ออก AI คือเครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่เคยมีมา มันสามารถมองเห็นแพทเทิร์นและอินไซต์ที่สายตามนุษย์อาจมองข้ามไป แต่สุดท้ายแล้ว คนที่ต้องตีความและตัดสินใจก็คือ “ผู้นำ” อย่างเรา

ทำไมทักษะนี้ถึงสำคัญ?

ในตลาดที่มีการแข่งขันสูง การตัดสินใจที่ช้าหรือผิดพลาดอาจหมายถึงการสูญเสียส่วนแบ่งการตลาดมหาศาล AI ช่วยให้เราเปลี่ยนจากการ “คาดเดา” ไปสู่การ “คาดการณ์” ที่แม่นยำขึ้น แต่ AI ไม่ได้ให้ “คำตอบสุดท้าย” มันให้แค่ “ความเป็นไปได้” หน้าที่ของเราคือการนำข้อมูลเชิงลึกเหล่านั้นมาประกอบกับความเข้าใจในธุรกิจ บริบทของตลาดไทย และเป้าหมายขององค์กร เพื่อทำการตัดสินใจที่เฉียบคมที่สุด

ในฐานะผู้นำ… เราจะเริ่มต้นอย่างไร?

  • ส่งเสริมวัฒนธรรมองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (Data-Driven Culture): ทำให้การใช้ข้อมูลเป็นเรื่องปกติในการประชุมทุกระดับ ไม่ใช่แค่การนำเสนอความคิดเห็นลอยๆ แต่ต้องมีข้อมูลสนับสนุนเสมอ
  • เรียนรู้ที่จะตั้งคำถามกับข้อมูล: แทนที่จะรับรายงานจาก AI มาเฉยๆ ลองถามต่อว่า “ข้อมูลนี้บอกอะไรเรา และที่สำคัญกว่านั้นคือ มันไม่ได้บอกอะไรเรา?” “มีปัจจัยอื่นที่เรายังไม่ได้พิจารณาหรือไม่?”
  • เข้าใจความแตกต่างระหว่าง Correlation และ Causation: แค่เพราะสองสิ่งเกิดขึ้นพร้อมกัน ไม่ได้หมายความว่าสิ่งหนึ่งเป็นสาเหตุของอีกสิ่งหนึ่ง การเข้าใจหลักการนี้จะช่วยป้องกันการตัดสินใจที่ผิดพลาดได้
  • ลงทุนในเครื่องมือ Data Visualization: ทำให้ข้อมูลที่ซับซ้อนกลายเป็นภาพที่เข้าใจง่ายสำหรับทุกคนในทีม เพื่อให้การตัดสินใจเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

แดชบอร์ดข้อมูลธุรกิจแสดงกราฟและตัวเลขต่างๆ บนหน้าจอคอมพิวเตอร์

4. การบริหารการเปลี่ยนแปลงและการผลักดันการใช้ AI (Change Management & AI Adoption Advocacy)

อุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดของการนำ AI มาใช้ในองค์กร ไม่ใช่เทคโนโลยี แต่คือ “คน” ความกลัวที่จะถูกแทนที่, ความไม่คุ้นเคยกับเครื่องมือใหม่, หรือแรงต้านต่อการเปลี่ยนแปลง คือกำแพงที่ผู้นำต้องทลายลงให้ได้ ทักษะการบริหารการเปลี่ยนแปลงจึงเป็นเหมือนกุญแจสำคัญที่จะปลดล็อกศักยภาพของทั้งคนและ AI ให้ทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น

ทำไมทักษะนี้ถึงสำคัญ?

คุณสามารถมีระบบ AI ที่ดีที่สุดในโลกได้ แต่ถ้าพนักงานไม่ยอมใช้มัน หรือใช้แบบไม่เต็มประสิทธิภาพ การลงทุนทั้งหมดก็จะสูญเปล่า การเปลี่ยนแปลงที่นำโดยผู้นำที่เข้าใจและใส่ใจ จะสร้างความรู้สึกร่วมและทำให้พนักงานมองว่า AI คือ “ผู้ช่วย” ที่จะทำให้พวกเขาทำงานได้ดีขึ้น มีคุณค่ามากขึ้น ไม่ใช่ “คู่แข่ง” ที่จะมาแย่งงาน ผู้นำต้องเป็น “หัวหน้าผู้สนับสนุน AI” (Chief AI Advocate) ขององค์กร

ในฐานะผู้นำ… เราจะเริ่มต้นอย่างไร?

  • สื่อสารอย่างสม่ำเสมอและโปร่งใส: บอกเล่า “วิสัยทัศน์ AI” ขององค์กรให้ทุกคนฟัง ว่าเรากำลังจะไปไหน และการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลดีต่อทุกคนและองค์กรอย่างไร รับฟังความกังวลและตอบคำถามอย่างจริงใจ
  • เปลี่ยนโฟกัสจากการ “แทนที่” เป็นการ “ยกระดับ” (Augmentation): สื่อสารให้ชัดเจนว่าเป้าหมายคือการใช้ AI มาทำงานซ้ำซาก น่าเบื่อ เพื่อให้พนักงานมีเวลาไปทำงานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ การตัดสินใจที่ซับซ้อน และทักษะการสื่อสารกับลูกค้ามากขึ้น
  • ลงทุนในการ Reskill และ Upskill: จัดอบรมและพัฒนาทักษะใหม่ๆ ที่จำเป็นให้กับพนักงาน เพื่อให้พวกเขามั่นใจและพร้อมที่จะทำงานร่วมกับเทคโนโลยีใหม่ๆ การลงทุนในคน คือการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดเสมอ หลักสูตรปริญญาเอก Reskill&Upskill พร้อมเนื้อหา AI  Skill สำหรับผู้นำยุคใหม่
  • ฉลองความสำเร็จเล็กๆ (Celebrate Small Wins): เมื่อโครงการนำร่องประสบความสำเร็จ จงประกาศและฉลองให้ทุกคนรับรู้ เพื่อสร้างแรงผลักดันและกำลังใจให้กับการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะตามมา

5. ทักษะการสื่อสารกับ AI และการทำงานร่วมกัน (Prompt Engineering & AI Collaboration)

ทักษะสุดท้ายนี้เป็นทักษะที่จับต้องได้และปฏิบัติได้จริงที่สุดในยุคนี้ ลองนึกภาพว่า Generative AI อย่าง ChatGPT หรือ Gemini เป็นเหมือนพนักงานใหม่ที่เก่งมากแต่ยังไม่รู้จักบริษัทของคุณดีพอ การ “Prompt” ก็คือการที่คุณในฐานะหัวหน้า “บรีฟงาน” ให้กับพนักงานคนนี้ ยิ่งคุณบรีฟได้ชัดเจน ละเอียด และมีบริบทมากเท่าไหร่ ผลลัพธ์ที่ได้ก็จะยิ่งยอดเยี่ยมและตรงใจมากเท่านั้น

ทำไมทักษะนี้ถึงสำคัญ?

ในอนาคตอันใกล้ ความสามารถในการดึงศักยภาพสูงสุดของ AI ออกมาใช้ จะเป็นตัวตัดสินความได้เปรียบในการแข่งขัน ผู้บริหารที่สามารถร่างอีเมลโต้ตอบที่เฉียบคม, สรุปรายงานที่ซับซ้อน, หรือระดมสมองหาไอเดียการตลาดใหม่ๆ โดยใช้ AI ได้ในเวลาไม่กี่นาที จะมีเวลาเหลือไปโฟกัสกับงานเชิงกลยุทธ์ได้มากกว่า นี่คือ AI Skill ทักษะที่เพิ่ม Productivity ของผู้นำได้อย่างมหาศาล

ในฐานะผู้นำ… เราจะเริ่มต้นอย่างไร?

  • ฝึกฝนการตั้งคำถามแบบ “R-C-F”:
    • Role (บทบาท): สั่งให้ AI สวมบทบาท เช่น “เธอคือ CMO ที่มีประสบการณ์ 20 ปีในธุรกิจ FMCG ของไทย”
    • Context (บริบท): ให้ข้อมูลพื้นฐานที่จำเป็น เช่น “บริษัทเรากำลังจะเปิดตัวสินค้าใหม่ เป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพสำหรับคนวัยทำงานในกรุงเทพฯ”
    • Format (รูปแบบ): กำหนดรูปแบบผลลัพธ์ที่ต้องการ เช่น “ช่วยร่างไอเดียแคมเปญการตลาด 5 ไอเดียในรูปแบบตาราง เปรียบเทียบจุดเด่นและงบประมาณ”
  • ใช้ AI เป็นคู่คิด (Sparring Partner): ลองโยนไอเดียของคุณให้ AI แล้วสั่งให้มัน “ช่วยวิจารณ์ไอเดียนี้อย่างตรงไปตรงมา” หรือ “ลองหาจุดอ่อนของแผนนี้ 3 ข้อ”
  • เรียนรู้เทคนิคขั้นสูง: ศึกษาเทคนิค เช่น Chain-of-Thought (ให้ AI คิดเป็นขั้นเป็นตอน) หรือ Few-Shot Prompting (ให้ตัวอย่าง 2-3 ตัวอย่างก่อนสั่งงานจริง) เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ซับซ้อนและมีคุณภาพสูงขึ้น

“การเรียนรู้ที่จะ ‘คุย’ กับ AI ให้รู้เรื่อง คือทักษะใหม่ที่ทรงพลังไม่ต่างจากการเรียนรู้ที่จะสื่อสารกับทีมงานหรือลูกค้า มันคือการปลดล็อกขุมพลังทางปัญญาที่ไม่มีที่สิ้นสุด”

บทสรุป: จากผู้นำ สู่ผู้นำแห่งยุค AI

การเดินทางเข้าสู่โลกของ AI คือโอกาสครั้งสำคัญที่จะได้แสดงศักยภาพ ทั้งความละเอียดอ่อนในการมองมิติด้านจริยธรรม, ความสามารถในการสื่อสารเพื่อนำการเปลี่ยนแปลง, และความมุ่งมั่นในการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ

ทักษะทั้ง 5 นี้ไม่ใช่เรื่องของเทคโนโลยี

แต่เป็นเรื่องของ “ภาวะผู้นำ” ในศตวรรษที่ 21

เริ่มต้นตั้งแต่วันนี้ ลองผิดลองถูก เรียนรู้ และที่สำคัญที่สุดคือการลงมือทำ เพราะอนาคตขององค์กรในปี 2025 และปีต่อๆ ไป อยู่ในมือของผู้นำที่กล้าจะก้าวไปพร้อมกับ AI Skill อย่างชาญฉลาดและมีวิสัยทัศน์… ผู้นำแบบคุณ

(Visited 562 times, 3 visits today)

Related posts

AI เปลี่ยนโลกบัญชีอย่างไร: ทักษะที่นักบัญชีต้องมีในปี 2025

Wadee

การเรียนต่อเพื่ออัปเดตทักษะและความรู้สำหรับคนทำงานในยุค AI

Wadee

ปริญญาเอกสู่ Business Owner: ก้าวแรกสู่ผู้เชี่ยวชาญและผู้นำธุรกิจ

Wadee