Review รุ่นพี่คณะนิเทศศาสตร์

“ปีโป้” Dek Film สุดสวยแห่งทีม Sim Agency

"ปีโป้" Dek Film สุดสวยแห่งทีม Sim Agency

 

"ปีโป้" Dek Film สุดสวยแห่งทีม Sim Agencyปีโป้ พิมวดี พลอยธรรมคุณ

สวัสดีค่ะชื่อ ปีโป้ นะคะ พิมวดี พลอยธรรมคุณ อยู่สาขาภาพยนตร์และสื่อดิจิทัล หรือว่า FD นั่นเองค่ะ

 

อยากบอกว่าอาจารย์เข้าถึงง่ายมาก

อยากที่บอกค่ะว่าเราเรียนสาขา FD ซึ่งอาจารย์ในสาขาเป็นผู้ชายหมดเลย แรกๆ เราก็คิดว่าแบบ เฮ้ย เราจะเข้าถึงอาจารย์ได้ยังไง เราก็จะรู้สึกว่าเขาจะต้องนิ่งๆ กับเรารึเปล่า แล้วตอนที่เราเข้ามาแรกๆ เราก็ประกวด Brand Ambassador ซึ่งทั้งอาจารย์และเพื่อนที่รู้จักหรือเห็นเราตอนนั้น จะคิดว่าเราเรียนการแสดงทุกคนเลย จนวันนึงได้มีโอกาสไปเจออาจารย์ในสาขาแบบครบทีม อาจารย์เขาก็ทักว่า ไม่ได้อยู่การแสดงเหรอ เราก็บอกว่าอยู่ FD ค่ะ อาจารย์เขาก็บอกว่า ย้ายไปอยู่การแสดงเถอะ (หัวเราะ) แล้วก็มีอาจารย์อีกคนนึงแกก็บอกว่า ไม่เอา ให้สาขาเรามีคนแบบนี้แหละดีแล้ว เหมือนประมาณว่าเราจะได้ครบทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง อาจารย์คือดีมาก เขาเข้าใจแล้วก็พอได้คลุกคลีกับพวกเขาไปนานๆ ก็จะรู้สึกว่า เฮ้ยเราคุยได้ เขาซัพพอร์ตเราดี เขาเข้าใจเรา มองเผินๆ อาจจะคิดว่าเป็นหนุ่มๆ F5 เพราะมี คน (หัวเราะ) แต่พอได้คุยคือชิลล์มาก ยิ่งคุยเล่นนี่คือลื่นปรื๊ด หรือจะคุยเรื่องความรู้ก็ได้เหมือนกัน คือเป็นกันเองมาก

 

 

รีวิวการเรียนสไตล์ Dek Film

คืออย่างในสาขาเราเนี่ย เอาจริงตอนเข้ามาในปี จะยังไม่ได้เรียนเจาะลึกเกี่ยวกับวิชาของสาขาเท่าไหร่ จะเรียนพื้นฐานเกี่ยวกับคณะนิเทศฯ เช่น การสื่อสาร การตลาด อะไรประมาณนี้ พอได้มาปี ปุ๊บ เริ่มได้เรียนวิชาในสาขาแล้ว เราก็จะเริ่มตื่นเต้นมากเพราะว่า วิชาภาพยนตร์และสื่อดิจิทัลเนี่ย คือมันไม่ใช่แค่การถ่ายรูป หรือแบบถ่ายคลิปวิดีโอทั่วไปแล้ว มันเป็นเรื่องของการทำหนัง ซึ่งหนังเนี่ยแปลว่าจะต้องมีอุปกรณ์ที่เฉพาะทางบ้าง ซึ่งนั่นแหละเราก็ไม่ได้มีอุปกรณ์นั้นอะเนอะ (หัวเราะ) พอได้มาเรียนปุ๊บเราได้จับอุปกรณ์จริง ทั้งไฟ ทั้งกล้อง ที่เราไม่สามารถซื้อเองได้อะ คือกล้องที่เราได้จับเนี่ยราคาเป็นแสนเป็นล้านเลยนะ ซึ่งเป็นกล้องระดับเดียวกับที่หนังฮอลลีวูดเขาใช้กัน ก็คือกล้อง Alexa นั่นเองค่ะ อาจารย์ก็จะสอนละเอียดมาก สอนตั้งแต่ตั้งขากล้อง ตั้งขาไฟ ให้เราลองยกไฟว่าเออน้ำหนักจริงๆ มันเป็นยังไง แล้วก็มีการสอบแบบครบ มีตั้งแต่ทฤษฎียันได้ปฏิบัติเลย ทฤษฎีอาจารย์ก็จะสอนได้แบบเข้าใจเด็กมากๆ ส่วนปฏิบัติก็คือครบมาก เยอะมากจนเรารู้สึกว่าเราไม่จำเป็นต้องมีพื้นฐานมาก่อนก็ได้ เพราะอย่างตอน ม.ปลาย เราก็ไม่ได้ถนัดในด้านศิลป์เลยคือเราจบมาจาก วิทย์ – คณิต แต่เรารู้สึกว่าเราอยากให้อิสระกับชีวิตตัวเอง เราอยากทำอะไรที่มันใช่กับตัวเราจริงๆ เราก็เลยเลือกมาที่มอนี้ เลือกเรียนสาขานี้เพราะเราอยากทำหนัง เราดูหนังแล้วเราเกิดข้อสงสัยตลอด ว่าซีนนี้มันทำยังไง ถ่ายยังไง เราก็เลยเลือกเรียน อย่างที่บอกจับอะไรไม่เป็นเลยแม้แต่กล้อง กล้องก็ไม่เคยซื้อ ไม่มีกล้องเลย แต่ก็เรียนมาจนถึงปี ได้

 

ต้องบอกก่อนเลยว่าเราไม่ใช่นักศึกษาปกติทั่วไป เพราะว่าเราอยู่ชมรม Performing Dance & Drama ด้วย ซึ่งชมรมนี้ก็จะอยู่ภายใต้ Sim Agency อีกทีนึง แต่ว่าเราก็จะไม่ได้แค่เรียนอย่างเดียวแล้ว เราเรียนด้วยและทำงานให้กับคณะนิเทศศาสตร์ด้วย ซึ่งเราเนี่ยก็จะทำทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง งานเต้น งานร้อง งานแสดง ก็ทำหมด ซึ่งงานเบื้องหลังเราก็มีการได้ออกกองกับทางทีม Sim Agency ด้วย เราก็เลยรู้สึกว่าเข้ามาปี เราได้รับโอกาสอะไรหลายๆ อย่างมากมายแล้วอะ ซึ่งเรารู้สึกว่าเราไม่อยากหยุดพัฒนาตัวเองเลย รู้สึกอยากพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ เพราะแบบมันมีโอกาสอยู่ข้างหน้าแล้วทำเราต้องมาเรียนแล้วกลับไปทำอะไรที่ห้องก็ไม่รู้ เรารู้สึกว่า เห้ยเรามีโอกาสก็คว้ามันมาให้หมดไปเลย ถึงแม้บางอย่างเราจะไม่ถนัดแต่ว่ามันก็ไม่ใช่ว่าเราทำไม่ได้ ไม่ถนัดก็ไม่เป็นไร ได้ทำยังดีกว่าไม่ได้ทำ ซึ่งนั่นแหละเรื่องการเรียนมันก็มีบ้างที่พอเรามาอยู่ภายใต้ Sim Agency แล้วมันก็จะมีงานที่เข้ามา และบังเอิญไปชนกับคาบเรียนของเรา ซึ่งตรงนี้เราก็ทำได้แค่แจ้งอาจารย์ไป ซึ่งอาจารย์เข้าใจเพราะว่าเราอยู่ภายใต้องค์กรของคณะนิเทศศาสตร์ ก็แปลว่าคณะเราอาจารย์เข้าใจเด็กและเปิดโอกาสให้เด็กมากๆ เรียนไปด้วยทำงานไปด้วยขอแค่ส่งงานก็พอ ถ้าเรามีความรับผิดชอบอาจารย์จะไม่ติดอะไรเลย เราอย่าโฟกัสอย่างใดอย่างหนึ่งจนทำให้อีกอย่างเสียไป

 

 

อุปกรณ์ เครื่องมือ จัดเต็ม!

ทุกคนต้องได้เรียนกับของจริง

อย่างที่บอกไปก็คือตอนปี ไม่มีอะไรเลย มาแบบตัวเปล่าเลยก็ว่าได้ แม้แต่กล้องอะยังไม่เคยจับเลย คือจับของเพื่อนแบบเพื่อนฝากถือประมาณนี้ แต่ไม่เคยถ่ายเลย พอเข้ามามหาลัยเรากังวลมากว่าเราจะเรียนได้มั้ย เพราะมันจะมีวิชานึงตอนปี ที่เราต้องถ่ายรูป เป็นวิชาพื้นฐานที่เด็กๆ ทุกสาขาจะได้เรียนกัน ซึ่งเราก็แบบแพนิคละ เพราะเราไม่มีกล้อง แล้วเพื่อนคือมีกล้องกันสะส่วนใหญ่ แต่ว่าเซอร์ไพรส์มากคืออาจารย์ถามว่าใครไม่มีกล้องบ้างเราก็ยกมือ อาจารย์เขาก็บอกโอเคงั้นเดี๋ยวอาจารย์เอากล้องมาให้ สาขาเรามีกล้องมาให้ค่ะ คือไม่จำเป็นต้องมีกล้องก็ได้ เรียนได้เหมือนกัน แต่ก็อย่างที่บอกคือถ้าเรามีกำลังทรัพย์พอที่ซื้อ เราก็สามารถเลือกซื้อในตัวที่เราชอบได้ แต่ถ้าไม่มีก็ไม่เป็นไรเพราะคณะเราสาขาเรามีให้ครบเลย พอตอนปี ทุกคนก็จะได้จับอุปกรณ์กันมากขึ้น เป็นอุปกรณ์ที่เราไม่สามารถเอื้อมมือซื้อมาได้ ทุกคนจะได้มาเรียนรู้พร้อมกัน ก็คือทุกคนจะได้จับอุปกรณ์ในสาขามากขึ้นเรื่อยๆ ในแต่ละปีนั่นเองค่ะ

 

 

เพื่อนๆ พี่ๆ และความอบอุ่นของครอบครัว Dek สาขา FD"ปีโป้" Dek Film สุดสวยแห่งทีม Sim Agency

เข้ามาวันแรกก็มีพี่รหัสเลย และไม่ได้มีแค่พี่รหัสของสาขานะมีพี่รหัสของคณะด้วย ก็คือจะรวมทุกสาขาเลยก็จะคละๆ กัน ซึ่งพี่รหัสของคณะก็จับพลัดจับผลูมาอยู่ชมรมเดียวกัน ส่วนพี่รหัสของสาขาก็จะชวนเราไปออกกองบ่อยมาก เรียกได้ว่าเป็นการสานสัมพันธ์ที่ดีเลย เพราะว่าเขาก็จะให้โอกาสเรามีไปออกกองตรงไหนเขาก็จะชวนเราไปตลอด ซึ่งล่าสุดที่ไปออกกองกับพี่รหัสก็คือธีสิสปี ของพี่รหัสนั่นเอง ก็ได้ฟีดแบคกลับมาว่าทำงานได้ดีมากเลยนะในหน้าที่ของเรา

 

เอางี้ถ้าเรื่องเพื่อนมีเวลาสัก ชั่วโมงมั้ยคะ (หัวเราะ) เพราะเพื่อนเราแต่ละคือดีมากจริงๆ เริ่มจากที่เข้ามาตอนแรกเลยเราก็เป็น Brand Ambassadors แล้วมันจะต้องมีการทำกิจกรรมนู่นนี่นั่น ทำให้เราไม่ได้เข้าเรียนบ้างในบางวิชาก็จะมีเพื่อนในสาขานี่แหละที่คอยช่วยคอยซัพพอร์ตเรื่องเรียนเรามากๆ ดีมากๆ คอยตามคอยบอกเราตลอด วันนี้มีงานนี้ส่งงานนี้ด้วยนะ ทำได้มั้ย เข้าใจมั้ย ไม่เข้าใจโทรมาถามได้เลย ประมาณนี้ เพราะเขารู้ว่าเราไม่ว่าง เขารู้ว่าเรามีประสบการณ์อื่นๆ ที่เราต้องไปแสวงหา (หัวเราะ) และเพื่อนในชมรม PD เพื่อนใน Sim Agency ก็ดีมากๆ ในชมรมเนี่ยจะต่างคณะกันไปเลย เป็นชมรมที่ทุกคณะสามารถเข้ามาอยู่ได้ ดังนั้นส่วนใหญ่เราจะมีเพื่อนจากคณะอื่นด้วย แต่เราก็สนิทกันถึงแม้เวลาเรียนเราจะไม่ตรงกัน แต่พอเลิกเรียนปุ๊บก็จะนัดกันไปกินข้าวบ้าง ไปนู่นนี่นั่นบ้าง หรือจะเป็นเพื่อนใน Sim Agency อันนี้ถึงจะไม่ได้อยู่ทีมเดียวกัน ยิ่งพอได้แบ่งกลุ่มในสาขาเพื่อไปทำโปรเจกต์ในแต่ละปี แม้จะไม่ได้อยู่ทีมเดียวกัน แต่เราก็ยังสามารถคุยกันได้แบบสนิทสนมมาก ก็คือเป็นอีกหนึ่งกลุ่มเพื่อนที่ดีเลย เพราะเราก็ซัพพอร์ตกันในเรื่องงานด้วยเรื่องเรียนด้วย

 

บรรยากาศภายในมอตอนที่ได้มาเรียนในมอเนี่ย คืออบอุ่นตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาเลย รุ่นพี่คณะนิเทศฯ เราเนี่ยต้อนรับแบบจัดเต็มมาก เล่นใหญ่ นิเทศฯ มันก็ต้องมากับความเล่นใหญ่อะเนาะ แล้วก็อบอุ่นตั้งแต่รุ่นพี่เลยคือรุ่นพี่เนี่ยเรียกได้ว่าใกล้ชิดกับเรามากที่สุดแล้วนะ เขยิบไปอาจารย์ก็อบอุ่นกับเรา เรารู้สึกกับเขาว่าเขาเทคแคร์พวกเราได้ดี ยิ่งอาจารย์ที่ปรึกษาของปีเราเนี่ย เขามีข่าวคราวอะไรที่สำคัญเกี่ยวกับตัวนักศึกษา เขาแจ้งไวมาก ซึ่งเราก็จะไม่พลาดข่าวสารที่สำคัญเลย ส่วนสถานที่ต่างๆ ภายในมอก็คือเราชอบมอเราอย่างนึงเพราะว่ามันไม่ได้ใหญ่มาก เรารู้สึกว่าเอ๊ยแกอยู่ตึกไหน ตึก 11 ใช่มั้ย เราอยู่ตึก อะแป๊ปนึงไปถึง มันไม่จำเป็นจะต้องเดินขาลากเลยอะไรประมาณนี้ มันแบบไปหากันได้ง่าย 

 

 

หอใกล้มอก็มี เดินทางก็แสนสะดวก

เนี่ยตอนแรกไม่ได้อยู่หอ อยู่บ้านแต่มันต้องใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 1 – 2 ชั่วโมงเลย แล้วเรารู้สึกว่าเราเหนื่อยอะ เรายมอะ (หัวเราะ) เราก็เลยตัดสินใจมาอยู่หอ แล้วเราก็รู้สึกเลยว่าเนี่ยเราเคยอยู่บ้านแล้วเรามามอปุ๊บ การเดินทางทำให้เราเหนื่อยมาก ทั้งๆ ที่วันนึงเนี่ยเราทำหลายอย่างมาก ทั้งเรียน ทั้งงาน ทั้งแบบซ้อมเต้นหรือแบบคิดเบื้องหลังการออกกองไรเงี้ย เรารู้สึกว่าเราทำหลายอย่างมาก พอเราต้องมาเดินทางกลับบ้านอีก เรารู้สึกว่าเราเหนื่อย เราก็เลยเลือกหอใกล้ๆ มอใกล้มากที่สุดเลย เพราะเราคิดว่าจะได้ไม่ต้องมาเหนื่อยกับการเดินทางและสรุป ตื่นสาย (หัวเราะ) เราคิดว่าแบบเราจะได้เซฟบัดเจทในการเดินทางด้วยนะ สรุปจ่ายแท็กซี่เพราะเราตื่นสาย มีเรียน โมงก็ตื่น โมง แต่ก็ดีกว่าไม่เข้าเรียนนะ แต่ก็แนะนำว่าถ้าตื่นสาย หรือตื่นเช้ามาแล้วอึนกว่าจะขยับแต่ละทีให้นั่งนึกก่อนว่าฉันจะทำอะไร ต้องเผื่อเวลาและอย่างมีเรียน โมงก็ตื่น โมงประมาณนี้

 

 

แต่งตัวได้ตามสไตล์ตัวเอง

ตอนที่มอเปิดอะเราใส่ชุดนักศึกษาบ่อยมาก อย่างตอนปี ใช่มั้ย มันจะต้องมีวิชาที่เขาบังคับให้เราใส่บางวิชา เพราะเราไม่ได้ติดอยู่แล้ว เพราะก่อนหน้านี้เราก็ใส่ชุดนักเรี่ยนได้อยู่แล้ว เออแล้วเราก็รู้สึกว่าเขาไม่ได้บังคับเราตลอดอยู่แล้ว ก็เลยไม่ได้ติดอะไร เพราะส่วนตัวเราก็ชอบใส่ชุดนักศึกษาเพราะว่ามันง่ายดี บางทีเราตื่นสายเนี่ยเราก็ไม่ต้องแบบมานั่งนึกว่าเห้ยวันนี้จะใส่อะไรดี เพราะมันไม่มีเวลาเนาะ เราก็ต้องแบบโอเค หยิบชุดนักศึกษามาใส่กับกระโปรงเลย ซึ่งของนิเทศฯ เนี่ยไม่จำเป็นจะต้องใส่แบบเต็มรูปแบบก็ได้ อาจจะไม่ต้องเป๊ะมาก เพราะว่าบางครั้งไม่ได้ใส่กระดุมนักศึกษาก็ได้ไม่เป็นไร ไม่ใส่เข็มขัดไปก็ได้ไม่เป็นไรอาจารย์ไม่ได้ว่า ชิลล์มาก แล้วเราก็จะใส่เสื้อกันหนาวคลุมทับเพราะว่าเราขี้เกียจรีดเสื้อ เพราะว่าอากาศมันหนาวไง เราก็เลยใส่ทับไป แล้วเราก็คิดว่าเออไหนๆเราก็ใส่เสื้อกันหนาวมาแล้ว เราจะรีดเสื้อทำไมมันเปลืองไฟ เป็นคนประหยัดด้วย อยู่คนเดียวก็ต้องเซฟตังค์หน่อย

 

 

ความประทับใจในช่วงใส วัยเฟรชชี่

คือตอนแรกเราไม่ได้รู้สึกว่าตื่นเต้นกับการมามออะไรเลยนะ เรารู้สึกว่ามันต่างนิดนึงกับการไปโรงเรียนนั่นแหละ แค่เหมือนว่าเราย้ายสังคมมาใหม่ เราไม่ได้รู้สึกว่าเราตื่นเต้นเลย แต่เราเข้ามาเจอความยิ่งใหญ่และ มันเริ่มเหมือนมีอะไรมากระตุ้นอะดรีนาลีนในร่างกายเราก็เลยรู้สึกว่า มี Energy Enjoy กับมอมากขึ้น แล้วยิ่งพอวันแรก เขามีการปฐมนิเทศกัน พอเราดูโชว์ปฐมนิเทศจบปุ๊บเนี่ยเรารู้เลยว่าแบบที่เนี่ยคือที่ของเรา เรารู้สึกว่าแบบมันใช่เลยอะ ถึงแม้ว่าเราจะยังไม่ได้ไปเรียนหรืออะไรนะ ยังไม่ได้เจอเพื่อนด้วยเลยนะตอนนั้น

แต่เหมือนมันคือที่ของเราเลย แล้วพอได้เรียนได้เข้ามาเจอเพื่อน แล้วก็ได้เข้าเป็น Brand Ambassador เราก็แบบโอโห้ประสบการณ์มันมากกว่าที่เราคิดไว้เยอะเลย คือเราไม่ได้คิดอะไรเลยนะ เราคิดแค่อยากจะมาเจอเพื่อนใหม่ๆ เพื่อนจะเป็นยังไงน้า ไม่ได้มาคาดคิดเลยว่าเราจะได้มาเจอเพื่อนที่ดี อาจารย์ดี แล้วได้แบบประสบการณ์เยอะมากจริงๆ ตั้งแต่ปีแรกที่เข้ามาเลยค่ะ

 

 

การเรียนออนไลน์ เจ้าโควิดตัวร้าย

อยู่ที่ทัศนคติ และมันก็ไม่ได้แย่อย่างที่คิด

คือถ้าเป็นตอนที่มอเปิดไม่ได้มองว่าเป็นปัญหาใหญ่มาก แต่ยุคโควิดเนี่ยเราว่ามันเป็นอุปสรรคกับเรามากๆ เลย เพราะว่าหนึ่งเลยจริงๆ ทุกคนก็ต้องเจออุปสรรคแต่ว่ากับชาวนิเทศฯ เราเนี่ย แล้วยิ่งเป็นเด็กสาขาภาพยนตร์มันจำเป็นจะต้องจับพวกอุปกรณ์ที่ใช้ถ่ายทำภาพยนตร์ แล้วอย่างที่บอกคือมันเป็นกล้องที่เราไม่สามารถไปซื้อมาใช้เองได้ มันเลยรู้สึกทำให้เราเสียดายเวลาที่ปกติเราจะได้เรียน แต่เราก็ไม่ได้เสียใจมากนะเพราะเราทำอะไรกับโควิดมันไม่ได้ มันเป็นปัจจัยที่เราควบคุมไม่ได้เราก็ต้องปรับตัวไป การเรียนออนไลน์มันเป็นอะไรที่ยากนะส่วนตัว เพราะรู้สึกว่าการ Communication แบบตัวต่อตัวอะมัน Real กว่าแต่ว่าการเรียนออนไลน์มันก็ไม่ได้แย่หรอก พวกที่แบบมันก็จะต้องมีบ้างเหมือนปัญหาในระหว่างที่เราเรียน เพราะว่าเราเรียนไปด้วยทำงานไปด้วย เราไม่ได้คิดว่ามันเป็นอุปสรรคที่แบบมันใหญ่มาก จนเราผ่านมันไปไม่ได้ เพราะเราคิดว่าเราทำมันได้ เราสามารถผ่านมันไปได้ แต่ก็จะมีแหละเครียดบ้างเพราะเราก็ไม่ได้อยากจะโฟกัสอะไรไปพร้อมกันไม่ได้ อย่างเช่นบางงานอะ เราต้องไปทั้งๆ ที่เรามีคาบเรียน ตอนนั้นแล้วจำเป็นจะต้องลาจริงๆ อะ เห้ยเราก็จะรู้สึกละว่าเราไม่ได้อยากลาเลย เรารู้สึกว่าเราอยากเข้าเรียนนะ อาจารย์จะได้แบบเข้าใจว่าเราเป็นเด็กน่ารักตั้งใจเรียน แต่คือพอมาคิดขึ้นได้เราก็รู้สึกว่า เราไม่ได้โดดเรียนไปเฉยๆ อะ เราแค่ไปหาประสบการณ์เองเหมือนกัน ซึ่งอาจารย์ก็ซัพพอร์ตเรานะ อาจารย์ก็เข้าใจ แล้วก็ให้เราส่งงานย้อนหลัง เป็นไปตามกำหนดการของอาจารย์

 

อย่างที่บอกอุปสรรคในการเรียนคือเพราะว่ามีโควิดเข้ามาใช่มั้ย แต่เราคิดว่ามุมมองกับโควิดมันไม่ได้เป็นศัตรูชีวิตขนาดนั้น เพราะมันเป็นสิ่งที่ไม่ได้มีใครอยากให้เกิด ทุกวันนี้เราทำได้แค่ควบคุมมันแบบเท่าที่เราจะทำได้เช่น เราก็คุมจากตัวเราเอง พยายามใส่ Mask เหมือนเป็นการรับผิดชอบต่อสังคมด้วย เพราะถ้าเราคนนึงแหละที่แบบรับผิดชอบตัวเราเองได้ดีอะ แล้วคนอื่นๆ ที่ทำแบบเราอะไรอย่างเงี้ย มันก็เหมือนจะเป็นการรับผิดชอบต่อสังคมได้ในระดับนึง แต่เราก็มองว่าโควิดมันไม่ได้ทำให้ชีวิตเราไปต่อไม่ได้ โควิดมันเข้ามาก็จริง มันก็เหมือนทุกคนมีปัญหาในชีวิตอะ แต่สุดท้ายทุกคนก็ต้องเดินผ่านไปอยู่แล้ว แล้วเราก็ต้องหาทางแก้ปัญหาอยู่ดีมันก็เหมือนกัน โควิดเนี่ยมันทำให้เรารู้สึกว่าเราต้องใช้ชีวิตต่อโดยที่มีมันอยู่ไปด้วย เพราะเราไม่รู้ว่าเราจะทำให้มันหายได้มั้ย เราก็ต้องใช้ชีวิตต่อให้ได้ ปรับตัวให้ได้ ซึ่งไม่ได้มีใครสามารถปรับตัวได้เดือนสองเดือน หรือปีสองปีหรอก ยิ่งเป็นโรคระบาดที่เข้ามาแบบแตกขยายสายพันธุ์ได้อีกอะไรอย่างเงี้ย มันควบคุมยาก เราก็มาโฟกัสที่ตัวเรานี่แหละ

 

 

"ปีโป้" Dek Film สุดสวยแห่งทีม Sim Agencyฝากถึงน้องที่สนใจ และความประทับใจที่อยากบอกต่อ..

อันนี้มันเป็นมุมมองของเรานะ อย่างที่บอกอะเราไม่ได้ Fix คือเราไม่ได้แพลนไว้เลยว่าเราจะต้องมาเข้ามอเอกชน มอไหน เรารู้แค่ว่าเดี๋ยวเราจะเข้ามอเอกชนนะ แต่เราไม่ได้คิดแบบเจาะจงว่าเห้ยเราจะมอนั้นดีมั้ยมอนี้ดีมั้ยหรือว่าอะไรมั้ยอย่างเงี้ย แต่ที่เราเลือก ม.ศรีปทุม เพราะว่า การเดินทางมันง่าย เรายังสามารถเดินทางได้แบบสะดวกอยู่ แต่พอเข้ามาวันแรกอะ เราได้รับความประทับใจกลับไปเยอะมาก หนึ่งอย่างเลยนะยิ่งถ้าสนใจคณะนิเทศฯ นะ รุ่นพี่ไม่เคยทิ้งรุ่นน้องเลย อย่างในปัจจุบันนี้ ในยุคที่เราไม่สามารถเข้ามาเรียนในมหา’ลัยได้ คณะนิเทศฯ ของเราเนี่ยจัดกิจกรรมเยอะมาก เพราะว่าอยากให้เด็กที่เข้ามาเนี่ยไม่รู้สึกว่าถูกทอดทิ้งหรือรู้สึกว่าแบบเห้ยยุคโควิดเราเรียนออนไลน์ ไม่ได้เจอรุ่นพี่หรือว่าเจอใครในมหา’ลัย เนี่ย มันรู้สึกว่าแบบมันไม่ใช่ชีวิตการเรียนจริงๆ มันเหมือนไม่ใช่ชีวิตวัยรุ่นที่แบบชีวิตมหา’ลัย ดังนั้นทุกคนในคณะนิเทศฯ รวมถึง ตัวเราถึงเพื่อนๆ เราเนี่ย รู้สึกว่าเราอยากจะโอบอุ้มน้องๆ ทำให้น้องๆรู้สึกว่าแบบ เราเป็นครอบครัวเดียวกันนะเว้ยไรเงี้ย ถ้าสนใจจริงๆ ก็ลองดูรายละเอียดก่อนได้นะคะ หรือจะแบบสอบถามจากรุ่นพี่ก็ได้ พี่แนะแนวก็สามารถแนะนำได้ แล้วก็มีทุนด้วยนะ ใครที่อยากจะเข้าแต่ว่าต้องการได้ทุน มหา’ลัยเรามีทุนรองรับเยอะ แล้วยังสามารถกู้กรอ กยศได้อีกด้วย สุดท้ายแล้วไม่มีกล้องก็เรียนได้นะ (หัวเราะ)

 

 

(Visited 383 times, 1 visits today)

Related posts

สงสัยอะไรก็ถามมาได้! กับรุ่นพี่สาย IT นักกิจกรรม

P'Lilly SPU

ทำยังไงดี ไม่รู้ว่าอยากเรียนอะไร? มาค้นหาตัวเองที่คณะสหวิทยาการ เทคโนโลยีและนวัตกรรม

P'Lilly SPU

Design การเรียนได้ด้วยตัวเอง Take care ดีสุด! ต้องคณะสหวิทยาการฯ

P'Menu SPU