Review รุ่นพี่คณะนิเทศศาสตร์

“ต๊อบ” Dek Film สุดคูล เลือกเรียนเพราะ Passion

"ต๊อบ" Dek Film สุดคูล เลือกเรียนเพราะ Passion

 

ต๊อบ ชิษณุพงศ์ คำสุข

สวัสดีครับชื่อ ต๊อบ ครับ

ชิษณุพงศ์ คำสุข

สาขาภาพยนตร์และสื่อดิจิทัล (FD) คณะนิเทศศาสตร์ครับ

 

 

ความประทับใจถึงอาจารย์

ถ้าเอาในมุมมองความดีก็มีเยอะ แต่จริงๆ อาจารย์ก็มีหลายแบบดีกับเรา แต่เรารู้สึกขัด แต่จริงๆ อาจารย์คณะนิเทศฯ ก็ดีทุกคน เขาแบบซัพพอร์ตไรเงี้ย แต่ว่าก็อย่าไปกวนเขา (หัวเราะ) คือคณะนิเทศฯ อาจารย์เราเล่นกับเขาได้ เราแบบเอ็นจอยกับเขาได้ สนุก คุย ขำ เฮฮา อย่างเนี้ย เผื่อแบบน้องบางคนที่เรียนมัธยมมาแล้วไม่ได้รู้สึกอารมณ์แบบนี้มันจะได้ความรู้สึกแบบนั้นตอนมาเรียนที่มหาลัย ก็คงเป็นเพราะนิเทศฯด้วย ความเฟรนลี่อะเนาะ แต่ถ้าฝั่งที่แบบถ้าเกิดเราไปทำอะไรให้เค้ารู้สึกว่าไม่ชอบเรา มันก็อาจจะแบบเราอาจจะต้องปรับตัวเองนิดนึง เพราะว่าเราจำเป็นจะต้องเรียนกับอาจารย์คนนั้นไปตลอดปีการศึกษา แต่มีคนนึงที่เด่นๆ อยู่นะ อาจารย์พัน ธีรพันธ์ เรียกว่าคุณพ่อละกัน เป็นที่ปรึกษาของปี 62 และเป็นหัวหน้าสาขาภาพยนตร์  ได้ไปทำงานกับอาจารย์พันนี่แบบสุดยอดมาก อาจารย์เป็นคนที่แบบว่าสปอยมากเลย (หัวเราะ)  ให้คติประจำใจมาด้วย ก็คือ ใช้ชีวิตใช้ให้สุดไปเลย การกินการอะไรก็จ่ายแพงๆ ไปเลย เราจะได้ทั้งความอร่อยและก็ประสบการณ์ใหม่ อันนี้ก็คือจะเป็น อาจารย์พันครับ

 

 

ชอบเรียนวิชาอะไร และได้เรียนรู้อะไรบ้างในระหว่างเรียน"ต๊อบ" Dek Film สุดคูล เลือกเรียนเพราะ Passion

อันนี้พูดในมุมมองของเด็กฟิล์มละกัน ถ้าวิชาที่น่าเรียนทึ่สุดสำหรับเราก็รหัส FDM ทุกตัวเลย เพราะว่าเป็นวิชาของสาขา เพราะเราแบบคิดแน่ๆ แล้วว่าเราอยากมาทางนี้ใช่มั้ย พอเรามี Passion กับอะไรอย่างเนี้ย ถ้าเราได้เรียนหรือลองอยู่กับมัน มันจะสนุกมากกว่าทุกอย่างเลย อย่างเช่น วิชาที่มันจะเรียนกับอุปกรณ์ มันเป็นอุปกรณ์ที่แบบเราคิดไว้ตั้งแต่ก่อนเข้ามาแล้วว่า เราอยากทำอันนี้เราอยากเล่นอันนี้ ว่ามันจะดีอย่างที่เขาแบบเห็นภาพออกมาจริงๆ หรือเปล่า เพราะว่า หนังที่เราดูมันก็ออกจากกล้องแบบนี้ ไฟแบบนี้ ซึ่งพอแบบเราได้ลองมาจับมันจริงๆ มันจะยิ่ง Inspire เราแบบว่า เฮ้ยนี่แหละไอพวกนี้แหละที่ทำให้มีงานตรงนั้นได้ มันก็เลยทำให้สนุก แล้วก็อินกับมันมากขึ้น

 

เพราะว่าสุดท้ายแล้วฟิล์มมันจะจบที่เทศกาลฉายหนัง เราก็ต้องได้ทำหนังจริงๆ ขึ้นโรงจริงๆ มันก็เหมือนกับการที่เราไต่ระดับ Rank ไว้ตั้งแต่ตอนแรกที่เราเรียนเขียนบท ไปเจอบท ไปเจออุปกรณ์ ทำนู่นทำนี่ เตรียมความพร้อม สนุกดีเรียนพวกตัว FDM จริงๆ ก็ชอบพวกเขียนบท แต่ก็รองลงมาเพราะส่วนตัวเป็นคนที่แบบอาจจะชอบทางกล้องมากกว่า ก็คือหลักๆจะชอบวิชาในสาขาที่เกี่ยวกับอุปกรณ์เป็นอันดับ 1 รองลงมาก็เป็นวิชาในสาขาเกี่ยวกับการเขียนบท การตัดต่ออะไรอย่างนี้ ลองไปเรื่อยๆ แต่ว่ามันไม่ได้แย่นะ มันอยู่ที่ความชอบเรา สมมติน้องชอบวิชาเขียนบท น้องอาจจะชอบเขียนบทมากกว่าเราก็ได้

 

ทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย มันเหมือนกับเราต้องเอางานทุกอย่างในเดือนนั้นมารวมกันเป็นก้อนๆ ก่อน แล้วเราเป็นคนทำงานโปรดักชั่น เราจะใช้วิธีการทำแพลนเนอร์ ซีเคว้น หรืออะไรพวกเนี้ย จัดวางเวลา แล้วเอางานของเรามาคิดดูว่างานตัวเนี้ยมันเหมาะช่วงไหนของวันนั้น แต่ก็อย่าลืมเรื่องเรียนด้วย สุดท้ายเราเรียนอยู่ เราไม่ได้ทำงาน มันต้องชัดเจนว่าเรายังเรียนอยู่ เราก็ควรจัดการให้มันถูกต้อง เราก็จับงานมาเข้าในวันที่สมควรกับมัน อย่างงานเรามันสเกลใหญ่ เราก็ควรจัดการว่าถ้างานเราไม่เสร็จ เราก็จะเสียเครดิต เราก็เหมือนตัดโอกาสตัวเองไปด้วยนะ คือตอนนี้เราไม่ใช่มัธยมไปต่อมหาลัยฯ แต่นี่เหมือนกับว่าเราจะออกไปใช้ชีวิตจริงๆแล้ว งานที่เราจะทำมันก็คือสิ่งที่เราจะต้องไปเจอในอนาคต แต่เรียนมันก็ทิ้งไม่ได้ เราก็ต้องวางอนาคต วางทุกอย่างของเราไว้ด้วย เราไม่ควรทิ้งอะไรเลย ถ้าเราตั้งใจจะทำมันแล้วจริงๆ แค่จัดสรรเวลาให้มันถูกต้อง แล้วก็อย่าลืมพักผ่อนด้วย นอนให้เพียงพอ มันต้องมีเวลาพักผ่อนด้วยไม่ใช่ทำงานตลอดนะครับ

 

 

อุปกรณ์ & เครื่องมือ ครบครันไหม?

ถ้าเรื่องอุปกรณ์ ถ้าเรายังเป็นคนที่เรียนเฉยๆ ยังไม่ได้ทำงาน เราแทบไม่จำเป็นจะต้องซื้ออะไรเลย เพราะว่าวิชาแรกที่เราจะเจอก็คือถ่ายภาพ อาจารย์มีกล้องของสาขาให้ มีทั้งเลนส์ มีทั้งกล้องให้ เราใช้ของอาจารย์ก็ได้ มันฟรีเลย ถ้าเราอยากมีของเราเอง เราค่อยซื้อ แต่พอถ้าเราทำงานอย่างเงี้ย มันก็จะมีส่วนหนึ่งที่เป็นของทีม SIM AGENCY ฝ่ายที่จะต้องทำงานก็จะมาอยู่ตรงนี้ ก็จะมีอุปกรณ์ซัพพอร์ตสำหรับงานที่ต้องทำแต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะเข้ามาทำ อุปกรณ์ทางสาขาก็จะมีซัพพอร์ตให้น้องทุกคนอยู่แล้ว แต่ถ้าอยากมีทางเลือกที่มากกว่านั้น เราอยากมีรายได้ด้วย เพื่อที่จะไปซื้ออุปกรณ์

 

ของเราเอง ทางเลือกอีกทางนึงก็จะเป็น SIM AGENCY มันคือองค์กรเล็กๆ ของคณะนิเทศศาสตร์ ก็จะทำงานคณะ งานมหาลัยฯ ไปจนถึงงานนอก เราก็เข้ามาอยู่ตรงนั้น เข้ามาทำงาน เพื่อที่จะเก็บเกี่ยวประสบการณ์ และรายได้ ค่าขนม เพื่อไปเก็บซื้ออุปกรณ์ของเรา ซึ่งในนั้นก็จะมีอุปกรณ์ของ SIM AGENCY ที่ทำให้เราได้ผลิตงานออกมาแน่ๆ อยู่แล้ว มันเพียงพอที่เราจะได้ผลิตชิ้นงานออกมาหนึ่งตัวตลอดจนถึง งาน Event ที่มันพอให้ใช้ได้ ก็เป็นอีกทางเลือกนึงของการใช้อุปกรณ์ในการทำงาน สาขาของเรามีอุปกรณ์ให้แต่ไม่สามารถใช้พร้อมกันได้ทุกคน เพราะว่าของที่มีราคาค่อนข้างสูง ของที่ใช้ก็คือระดับ Professional ระดับมาตราฐานสากล แต่ว่าทุกคนมีสิทธิ์ได้ใช้ เด็กปี 1 ที่เพิ่งเข้ามาก็มีสิทธิ์ได้ใช้

 

 

สนิทกับรุ่นพี่เร็วมากเลย ถึงกับชวนไปทำหนัง

อันนี้รู้สึกประทับใจมาก ตอนที่เข้ามาไม่มีเพื่อนด้วยนะ เข้ามาคนเดียวเปล่าๆ เลย แล้วพอเข้ามาดันรู้จักรุ่นพี่ได้ไงไม่รู้ (หัวเราะ) คือเหมือนรู้จักแบบเห็นหน้ากันแล้วเหมือนไปกวนตีนตอนรับน้อง แล้วเหมือนเขาจำหน้าได้ พอได้เริ่มอยู่กับเขาเรื่อยๆ ช่วงรับน้อง เราก็เป็นคนที่แบบชอบคุยกับรุ่นพี่ เข้ากับคนง่าย เราก็คุยไปเรื่อยๆ แล้วสักพักนึงพี่เขาพาเราไปทำงาน พีคนะที่แบบพี่เขา Skip ไปเลย ชวนไปทำหนังประกวด ไปเป็นผู้ช่วยโปรดิวเซอร์ ซึ่งเราในตอนนั้นแบบไม่รู้เรื่องอะไรเลย เราแบบก็ทำๆ ไป มันสุดๆก็คือไปทำงานกับพี่เขา มันไวมากสำหรับการเข้ามา ซึ่งระยะวลามันไม่ถึงปีสำหรับเด็กปี 1 พอผ่านมาก็มีรุ่นพี่ใน SIM ที่เรารู้สึกว่านี่คือแบบใช่อะ อย่างพี่เกมส์ ที่เป็นประธาน SIM รุ่น 2 หรือว่า ทีม SIM รุ่น 2 เขาก็แนะนำทุกอย่างเลย เวลาเราไปทำงานแล้วเจอปัญหา หรือว่าอยู่เฉยๆ เขาก็จะแนะนำเราทุกอย่างให้เรารู้ เพราะว่าแน่ๆอยู่แล้วเขาผ่านงานมาก่อนเรา เขาจะคอยแบบซัพพอร์ตเรา คอยแนะนำ ในแนวทางที่ดี รุ่นพี่ก็ดี ดูอบอุ่น นิเทศฯ อะด้วยเราเป็นคนสื่อสาร คณะเป็นคนสื่อสาร เวลามีอะไรก็จะคุยกันง่าย สนุกไป

 

 

กลุ่มเพื่อนที่แตกต่างจากวัยมัธยม"ต๊อบ" Dek Film สุดคูล เลือกเรียนเพราะ Passion

มันมีทั้งขมและหวานแหละ ความเป็นจริงของมหาลัยฯ มันเลี่ยงไม่ได้หรอกถ้าเกิดเราไปทำอะไรผิดใจใคร เอาจริงๆ ก็โยกย้ายเปลี่ยนไปเยอะเหมือนกัน เราก็หาที่ๆใช่สำหรับเรา พอมันเจอ ถ้าเรารู้จักรักษามันมันดีมาก คืออย่างตอนนี้ที่มีอยู่ก็กลายเป็นว่าทำทีมขึ้นมา พอรู้จักกันไหนๆ ก็ได้เรียนฟิล์มลองทำขึ้นมาจริงๆ จังๆ สุดท้ายออกมาเป็นชื่อ DUST ทุกคนจะรู้จักในชื่อ DUST มันรู้สึกว่าพอยิ่งเรามีที่ๆ ทำงานอยู่แล้ว มันยิ่งกลายเป็นว่าสังคมของเพื่อนเราตอนนี้เนี่ยเรากลายเป็นคนทำงานทุกคนไปเลย เราแทบคิดไม่ออกเลยว่าถ้าตอนนี้ไม่ได้อยู่กลุ่มนี้ ชีวิตตอนนี้เราจะเป็นยังไง ไม่ว่าจะงานใน งานนอก ทุกคนจะคอยหามาให้ทุกเดือน มันเลยคิดว่ามันมีทั้งดีและร้าย ถ้าเจอสังคมที่ดีก็ดีไป เราก็จะได้พัฒนาด้วย กลุ่มเพื่อนนอกทีมก็ดีนะ เพื่อนอาจจะดูเกร็งๆ เป็นคนติสท์ๆ แต่ละคนมีสไตล์เป็นของตัวเองอะเนาะ แต่พอเราได้ไปคุยกับเขาจริงๆ รู้จักเขาจริงๆ มันไม่ได้แย่เลย คือตัวเราเองก็ต้องเป็นคนที่เปิดรับด้วย ลองเปิดรับเพื่อนใหม่ดูบ้าง เพื่อนที่มหาลัยฯ จะแตกต่างกับเพื่อนมัธยม เพราะว่าทุกคนมีเป้าหมายที่ต่างกัน มันคือขั้นสุดท้ายของการใช้ชีวิต ทุกคนจะมีความตั้งใจที่อยากจะเป็นอะไรสักอย่างนึงอยู่แล้ว ต้องหาดีๆ

 

 

บรรยากาศในมหาวิทยาลัยเป็นไงบ้าง?

เข้ามาตอนแรกเลยนะ ตอนแรกๆที่เดินเข้ามาในมอรู้สึกว้าว เพราะส่วนตัวเป็นเด็กต่างจังหวัด นี่แบบเมืองหลวง เข้ามาเจอแบบห้องสมุดที่ทำไมมันมีถึงขั้นแบบดูหนังในห้องสมุด ร้องคาราโอเกะในห้องสมุด คืออะไรกันครับเนี่ย (หัวเราะ) มันก็ถือว่าบรรยากาศในม.ในตอนที่ยังไม่มีโควิดมันดีมากๆเลย มันมีทั้ง ข้อดี – ข้อเสียแหละเพราะว่า ม. เล็กอะ ข้อดีคือเราไปหากันง่ายมาก อย่างเราดูหนังอยู่ห้องสมุดตึก 11 เราหิวแปปเดียวเราก็ถึงโรงอาหาร เราแทบจะไม่จำเป็นต้องขับมอไซต์ หรือทำอะไรให้เราเหนื่อยเลย เพราะเดินนิดเดียวก็ถึงแล้ว บรรยากาศรอบนอกก็เราคิดว่า ม. เรามันร่มรื่นนะ ตึกทุกอย่างมันสูง ถนนทางเดินมันแทบจะไม่โดนแดดเลย ยิ่งเราเป็นคนที่ทำงาน ออกไปถ่าย Outdoor ข้างนอกเราแทบจะไม่ร้อนเลย ถ้าเราไม่โดนแดดจริงๆ อะนะ (หัวเราะ) อย่างลานหูกวาง ลานประจำ ม. ศูนย์กลางของ ม. ร่มรื่นมาก

 

 

การเดินทางมาเรียนสะดวกไหม?

ส่วนตัวใช้แต่ BTS เลย แต่ว่าช่วงแรกไม่ได้ใช้เลยนะ (หัวเราะ) ในช่วงก่อนที่ BTS จะเสร็จก็จะเป็นรถเมล์นะ เพราะบ้านที่พักอยู่ก็อยู่แค่แยกเกษตรมันใกล้นิดเดียว ที่เราเลือกเรียนที่นี่เพราะว่ามันใกล้ด้วยแหละ การเดินทางหลังจากที่ BTS เสร็จมันก็ง่าย โคตรจะง่าย แล้วยิ่งเด็กที่อยู่หอหลัง ม. ก็สบายเลยเดินมาแปปเดียวถึง

 

 

ชุดไปเรียนสไตล์ Dek นิเทศ

ชุดนักศึกษาเป็นชุดที่ Normal นะเราจะใส่ก็ได้ไม่ใส่ก็ได้ อันนี้พูดถึงคณะนิเทศฯ นะ เพราะว่าคณะนิเทศฯ เรามัน Free อยู่แล้วเรื่องการแต่งตัว วันไหนที่เราอยากกลับไปเป็นเด็กปี 1 อีกครั้งก็ใส่ชุดนักศึกษาไปเลย แล้วแน่นอนชุดนักศึกษามันมีความเท่ของมันอยู่แล้ว มันเหมือนชุดทำงานถ้าเราตัดเน็กไทออกมันก็คือชุดทำงานชุดนึงเลย แต่ถามว่าคิดถึงมั้ย ก็ไม่เชิงคิดถึงนะ จะหยิบมาใส่ในบางโอกาส เพราะว่าส่วนตัวก็ชอบใส่ชุดไปรเวทอยู่แล้วเวลามาเรียน บางครั้งมาเรียนคลาสที่เราสนิทกับอาจารย์ โอเคกับอาจารย์ ชอบใส่ขาสั้น รองเท้าแตะมาเลย แต่ก็อย่าบ่อยละกัน (หัวเราะ) มันดูไม่ให้เเกียรติเขา มันก็ฟรีของนิเทศฯ สมมติวันนี้เราแบบจิตใจโคตรสุดไรเงี้ย เราใส่เขียวแป๊ดมาทั้งตัวไม่มีใครว่านะนิเทศฯ เรื่องชุดมันก็ Free ชุดนักศึกษาเราก็เฉยๆ

 

 

ทำไมถึงเลือกมาเรียนเอกฟิล์ม?

มันต้องเริ่มตั้งแต่ตอนที่อยู่ ม.6 คือเราสนใจในเรื่องนี้อยู่แล้ว ลองทำมากับเพื่อนสักพักแล้ว เหมือนกับว่ามันใช่ คงต้องทางนี้แล้วแหละ เราก็เลยลองหาดู สุดท้ายก็มาจบที่นี่ ความตั้งใจแรกคืออยากเป็นอยู่แล้ว แล้วที่เลือกมาเรียนฟิล์มก็เพราะว่าเราอยากรู้ให้มันมากกว่านี้ เราตั้งคำถามกับตัวเองบ่อยมากว่าตรงนี้เขาถ่ายกันกี่ครั้งในซีนนี้เขาถ่ายกันกี่ครั้ง ถึงได้ออกมาสมูทจังเลย ในเวลาคนคุยกันในหนังทำไมมันเขาตัดยังไงก็เลยเลือกที่จะมาเรียนฟิล์ม 

 

 

อุปสรรคของตัวเราคืออะไร?

จริงๆ คือการบอกให้ตัวเองทำงาน อุปสรรคหลักๆ เลยก็คือความขี้เกียจ ตั้งแต่ ม.6 ละ เราเป็นเด็กที่ชอบทำกิจกรรม เราไม่ชอบต้องมาเขียนงาน จดงานส่งอาจารย์ มันเลยเป็นอุปสรรคมากๆ สำหรับปี 1 พอหลุดจากปี 1 เราเริ่มมีความคิดแบบทำให้มันเสร็จก่อนแล้วกัน ดีกว่ามาสบายแล้วก็..โอ่ย วันนี้ต้องเสร็จแล้วอะ เดดไลน์แล้วอะ ความรู้สึกมันแย่กว่า เลยกัดฟันทำให้เสร็จตั้งแต่วันแรก

 

"ต๊อบ" Dek Film สุดคูล เลือกเรียนเพราะ Passionปรับตัวยังไงบ้างในช่วงนี้?

มันไม่ได้ดีและไม่ได้แย่ ถามว่ามันไม่ได้แย่ยังไง ไม่ได้แย่ตรงที่ เรายังหาความเป็นไปได้ของสถานการณ์นี้ได้ คือเราเป็นผลิตสื่อ เราปรับเปลี่ยนได้อยู่แล้ว พอเราไม่ได้ Onsite ก็ Online ไปเลย มันก็ง่ายที่เราจะลองปรับเปลี่ยน แต่มันจะติดขัดตรงเรื่องการพบเจอคนทีมงานไรงี้ มันยิ่งทำให้เราปรับตัวทุกอย่าง เราได้มีประสบการณ์ในการทำงานใหม่ๆ ไปอีกแบบนึงเลย เราไม่คิดว่าเราจะได้ทำ เราเรียนฟิล์ม แต่งาน 40-50% คือ Event เลย ถ้าไม่มีโควิดเราจะไม่มีโอกาสได้ทำอะไรอย่างนี้เลย เพราะว่าเราก็จะ Offline เหมือนเดิม นี่แหละอาจจะเป็นที่เราคนเดียวที่อาจจะคิดว่ามันมีทั้งดีและร้าย เรื่องร้ายก็คือมันไม่ได้เจอเพื่อน ไม่ได้ใช้ชีวิตตามปกติ ออกกองก็โดนยุบไปรอบนึง เพราะโควิดมันถาโถมเข้ามา เราก็กลายเป็นส่งกระดาษรายงานแทน 

 

 

ฝากถึงน้องๆ ที่สนใจในคณะนิเทศศาสตร์

ก็ถ้าสนใจนิเทศฯ ถ้าสนใจแล้วก็ลองหา Passion ของตัวเองด้วยว่าจริงๆ แล้วตัวเองชอบอะไร ถ้ามันยังหาไม่ได้ พอมา ม. ปุ๊บ ลองทุกอย่างเลย เราลองเป็นเป็ดดูก่อน พอเรายังไม่รู้ว่าเราทำอะไรเป็น เราต้องไขว่คว้าว่า อะไรเราถนัดที่สุด มันไม่มีทางที่คนเราจะเก่งโดดมาทีเดียวเลย มันจำเป็นจะต้องลองทุกอย่าง อย่างเราก็ลองมาหลายอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเรียนแบบไปทางวิศวะก็ลองมาแล้ว เราก็ไม่รอด เราพยายามที่จะลองเรียน ฟิสิกส์ เคมีให้จริงจัง แต่พอมันจริงจังปุ๊บ เราก็รู้เลยว่าเราไม่รอด มันไม่ใช่ทางเรา แล้วก็ไม่ผิดที่เราจะไม่รอด คนเรามันไม่มีทางที่จะเก่งเท่ากันทุกคน แต่ว่าสิ่งที่มันจะเท่ากันได้ก็คือ ความใฝ่รู้ พอมันเป็นนิเทศฯ มันมีหลายหน้าที่การงานให้เราได้ลองทำ

 

ถ้าเป็นฝั่งฟิล์มก็จะมีหลายหน้าที่ในกองถ่ายมากๆ เราไม่ได้มีแค่ตากล้อง หรือผู้กำกับ ถ้าเรานั่งดูหนังจบ แล้วเราดู End Credit นั่นคือรายชื่อทีมงานทั้งหมด ถ้าเราไม่ได้เก่งเรื่องกล้อง ไม่ได้เก่งเรื่องกำกับ เราลองค้นหาตัวเองดูมั้ย เราอาจจะเก่งไฟอะไรอย่างเงี้ย การค้นหามันง่ายๆ คือแค่เราลองทำ เราต้องเปลี่ยนความคิดของเรากับมหาลัยฯ ก่อนว่า มหาลัยฯไม่ใช่ที่ทำงาน แต่มันคือพื้นที่เรียนรู้ เราไม่ต้องกลัวว่า เราทำไม่ได้เพื่อนจะด่ามั้ย ถ้าเพื่อนด่า เพื่อนน่าจะงงแล้วว่ามหาลัยฯ คืออะไรเพราะมันเป็นที่เรียนรู้ เพื่อนอาจจะเก่งมาอยู่แล้ว แต่การที่เราไม่ได้เก่งเหมือนเพื่อน การที่เราลองแล้วเราผิดมันไม่ใช่เรื่องแปลกมันยิ่งเป็นเรื่องดีด้วยซ้ำที่เราได้ลอง แล้วพอเรารู้ว่ามันผิด เราทำไม่ได้ เราจะได้ลองทำอย่างอื่นเพิ่ม แต่ไอสิ่งนั้นก็จะไม่หายไปเพราะเราได้ลองทำแล้ว เราจะมีประสบการณ์ตรงนั้นแล้ว มันก็ยิ่งดีที่เราเป็นเหมือนเป็ด ที่เราลองทุกอย่าง แต่ก็อยากให้เด่นสักทางนึงเหมือนกัน

 

 

(Visited 442 times, 1 visits today)

Related posts

“ปีโป้” Dek Film สุดสวยแห่งทีม Sim Agency

P'Menu SPU

Review จากเด็กอาร์ต ถึงเด็กอาร์ต อยากมีผลงานเป็นของตัวเอง ต้องสาขาคอมพิวเตอร์แอนิเมชันและวิชวลเอฟเฟกต์ SPU

P'Krish

พี่เกมส์ เรียนไปด้วยทำงานไปด้วย #Dekสื่อสารการแสดง #นิเทศSPU

P'Menu SPU